วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 30/04/2014
April, 30 2014,
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day.
1. The CMPO has received a report from the Department of Special Investigation (DSI) regarding the legal actions against leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) including Mr.Suthep Thaugsuban on several charges. So far, there are 316 offenders and the investigation officers consisted of officers from the DSI, the Attorney-General, and the Royal Thai Police have concluded the cases and will file them to the public prosecutors on 1 May. It is expected that the prosecutors will issue legal orders by 8 May for those who have not turned themselves in. The investigation officers will also submit a request to the court for issuing arrest warrants against the left offenders.
The CAPO wished to reaffirm to the public that the legal proceedings have been conducted with a fair and just manner. Although it is the right of the public to participate in the demonstrations but once it violates the law, every offenders will be brought to justice without any exception.
2. The CAPO with cooperation from government agencies, has successfully resumed functions of 70 government agencies that were blockaded by the PDRC. The CAPO wish to encourage all political groups either the PDRC or the United Front ofDemocracy Against Dictatorship (UDD) to not blockade government agencies premises or obstruct the performance of government officials as such actions could cause national damages including delaying public services.
Following the policy of the CAPO to take legal actions against leaders of the PDRC which the Criminal Court has already approved arrest warrants against many offenders, the police officers will attempt to arrest those offenders without any clashes. So far, 28 government agencies have filed complaints for 37 cases on the charge of trespassing and blockading government agencies premises.
สรุปผลการประชุม ศอ.รส. เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
เรื่องที่ ๑ ศอ.รส. ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินคดีพิเศษกรณีแกนนำ กปปส. รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และผู้กระทำผิดกฎหมายซึ่งถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานอื่น ๆ ที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน คือ ความผิดเกี่ยวกับการขัดขวางการเลือกตั้ง และการบุกรุกสถานที่ราชการนั้น ขณะนี้มีแกนนำ กปปส. และผู้กระทำผิดกฎหมายที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเพิ่มเติมอีก ๒๓๖ รายจากการกระทำผิดฐานขัดขวางการเลือกตั้ง จึงมีจำนวนผู้ต้องหาทั้งสิ้น ๓๑๖ ราย ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อันประกอบด้วยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานอัยการ และพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว โดยจะส่งไปยังพนักงานอัยการในวันที่ ๑ พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้จะแยกส่งสำนวนในครั้งแรก จำนวน ๕๘ ราย โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้องทุกคนทุกข้อหาตามฐานความผิด ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษจะได้มีคำสั่งทางคดีและฟ้องผู้กระทำผิดได้ในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อันเป็นวันครบกำหนดฝากขังของผู้ต้องหาบางราย โดยหากผู้ต้องหาคนใดที่ยังไม่เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการได้มีคำสั่งควรสั่งฟ้องแล้ว คณะพนักงานสอบสวนก็จะได้ขออำนาจศาลเพื่อออกหมายจับและนำตัวมาฟ้องต่อศาลต่อไป ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือทั้งหมด ก็จะได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการภายในกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ เช่นกัน
ศอ.รส. ขอเรียนย้ำต่อพี่น้องประชาชนว่า การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติของหน่วยงานถึง ๓ หน่วยงาน มีความโปร่งใสและตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือช่วยเหลือแต่อย่างใด และเป็นที่ชัดเจนว่า แม้การเข้าร่วมการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่หากมีการกระทำผิดต่อกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดในการเข้าร่วมชุมนุมแล้ว ท่านก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ท่านจึงควรใช้วิจารณญาณหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าว
เรื่องที่ ๒ ตามนโยบายของ ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการที่กลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ได้นำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่างๆ ดังนั้น ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๗๐ แห่งแล้ว ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอร้องกลุ่มมวลชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใดให้งดเว้นการเข้าปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ศาล และหน่วยงานต่างๆ เพราะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ก็จะต้องหยุดลง หรือเป็นโดยล่าช้าหรือเสียหาย อันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยหาได้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย
นอกจากนี้ ศอ.รส. ยังมีนโยบายให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งศาลได้มีการออกหมายจับผู้กระทำผิดแล้วหลายราย และแม้ว่าการเข้าจับกุมผู้กระทำผิดอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันที แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะไม่ละเลย และจะทำการจับกุมดำเนินคดีทันทีเมื่อมีโอกาสอันเหมาะสมว่าจะไม่เกิดการปะทะหรือสูญเสีย ซึ่งความผิดในเรื่องนี้มีอายุความอันยาวนาน โดยขณะนี้ มีหน่วยราชการเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐแล้วทั้งหมด ๒๘ หน่วยงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๗ คดี
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
เรื่องที่ ๑ ศอ.รส. ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินคดีพิเศษกรณีแกนนำ กปปส. รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และผู้กระทำผิดกฎหมายซึ่งถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานอื่น ๆ ที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน คือ ความผิดเกี่ยวกับการขัดขวางการเลือกตั้ง และการบุกรุกสถานที่ราชการนั้น ขณะนี้มีแกนนำ กปปส. และผู้กระทำผิดกฎหมายที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเพิ่มเติมอีก ๒๓๖ รายจากการกระทำผิดฐานขัดขวางการเลือกตั้ง จึงมีจำนวนผู้ต้องหาทั้งสิ้น ๓๑๖ ราย ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อันประกอบด้วยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานอัยการ และพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว โดยจะส่งไปยังพนักงานอัยการในวันที่ ๑ พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้จะแยกส่งสำนวนในครั้งแรก จำนวน ๕๘ ราย โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้องทุกคนทุกข้อหาตามฐานความผิด ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษจะได้มีคำสั่งทางคดีและฟ้องผู้กระทำผิดได้ในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อันเป็นวันครบกำหนดฝากขังของผู้ต้องหาบางราย โดยหากผู้ต้องหาคนใดที่ยังไม่เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการได้มีคำสั่งควรสั่งฟ้องแล้ว คณะพนักงานสอบสวนก็จะได้ขออำนาจศาลเพื่อออกหมายจับและนำตัวมาฟ้องต่อศาลต่อไป ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือทั้งหมด ก็จะได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการภายในกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ เช่นกัน
ศอ.รส. ขอเรียนย้ำต่อพี่น้องประชาชนว่า การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติของหน่วยงานถึง ๓ หน่วยงาน มีความโปร่งใสและตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือช่วยเหลือแต่อย่างใด และเป็นที่ชัดเจนว่า แม้การเข้าร่วมการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่หากมีการกระทำผิดต่อกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดในการเข้าร่วมชุมนุมแล้ว ท่านก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ท่านจึงควรใช้วิจารณญาณหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าว
เรื่องที่ ๒ ตามนโยบายของ ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการที่กลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ได้นำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่างๆ ดังนั้น ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๗๐ แห่งแล้ว ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอร้องกลุ่มมวลชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใดให้งดเว้นการเข้าปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ศาล และหน่วยงานต่างๆ เพราะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ก็จะต้องหยุดลง หรือเป็นโดยล่าช้าหรือเสียหาย อันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยหาได้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย
นอกจากนี้ ศอ.รส. ยังมีนโยบายให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งศาลได้มีการออกหมายจับผู้กระทำผิดแล้วหลายราย และแม้ว่าการเข้าจับกุมผู้กระทำผิดอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันที แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะไม่ละเลย และจะทำการจับกุมดำเนินคดีทันทีเมื่อมีโอกาสอันเหมาะสมว่าจะไม่เกิดการปะทะหรือสูญเสีย ซึ่งความผิดในเรื่องนี้มีอายุความอันยาวนาน โดยขณะนี้ มีหน่วยราชการเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐแล้วทั้งหมด ๒๘ หน่วยงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๗ คดี
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
ผอ.ศอ.รส.ห่วงการชุมนุม กปปส.-นปช. ที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงเวลาเดียวกัน ยืนยันไม่สลายการชุมนุม
ผอ.ศอ.รส.เผยเป็นห่วงการชุมนุม 2 กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงเวลาเดียวกัน ยืนยันไม่สลายการชุมนุม พร้อมระบุการย้ายพื้นที่ชุมนุมของ กปปส.จากสวนลุมพินีไปถนนราชดำเนิน เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่อย่าทำผิดกฎหมายหรือกีดขวางการจราจร
วันนี้ (30 เม.ย.57) เวลา 10.40 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์กรณีที่กลุ่ม กปปส.ประกาศจะย้ายการชุมนุมจากเวทีสวนลุมพินีไปที่ถนนราชดำเนินว่า เป็นสิทธิของผู้ชุมนุมที่จะย้ายการชุมนุมได้ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย หากไปกีดขวางการจราจร ประชาชนจะมีความรู้สึกไม่ศรัทธา ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามการดำรงอยู่ของกลุ่มผู้ชุมนุมจะชนะหรือแพ้ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่อยู่ที่เหตุผล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ก็กลับไปกลับมา เมื่อคืนที่ผ่านมาตนได้นำคำปราศรัยทั้งหมดของนายสุเทพในระยะ 1 เดือนมาวิเคราะห์พบว่าปราศรัยไม่มีสาระ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง บอกว่าชุมนุมสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ แล้วเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งสังคมจะตัดสินได้ และขอวิเคราะห์ว่าถ้านายสุเทพเดินทรงนี้ไม่ชนะ อย่างไรก็ตาม ตนห่วงใยเรื่องการดูแลความปลอดภัยเพราะมีผู้ชุมนุม 2 กลุ่มทั้ง นปช. และ กปปส. โดยห่วงว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ จึงได้ประชุมร่วมกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ผมขอถามบ้างว่าถ้านายสุเทพรู้ว่าทำไปแล้วไม่ชนะ ทำทำไม? ชนะแล้วจะได้เป็นอะไร? เป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็เป็นไม่ได้ ผิดกฎหมาย ไปสู่การเลือกตั้งเถอะ พอเลือกตั้งเสร็จก็อยู่สั้น ๆ แล้วปฏิรูป ยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ดีกว่า” ผอ.ศอ.รส. กล่าว
ผอ.ศอ.รส. กล่าวด้วยว่าจะดูแลการชุมนุมของ กปปส. ที่ถนนราชดำเนินกับการชุมนุมของ นปช. ที่ถนนอักษะ โดยจะไม่ยอมให้มาถึงกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะไม่ยอมให้วิ่งไปตีไปชกกัน ถนนราชดำเนินไกลจากถนนอักษะ จะมีการตั้งด่านตำรวจหลายด่าน การที่นายสุเทพย้ายการชุมนุมไปถนนราชดำเนินนั้นตนอ่านนายสุเทพไม่ออก แต่มองว่าไม่ควรมีม็อบตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว นายสุเทพเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อยู่ ๆ มาเรียกร้องเผด็จการ แต่วิเคราะห์ได้ว่าคงมีหลายปัจจัย เช่น พรรคพวกน้อยลง โรงแรมดุสิตธานีก็เจ๊งถ้านายสุเทพอยู่ต่อ ไม่มีคนเข้าพัก แขกต่างประเทศยกเลิก นายสุเทพแสดงมาดว่าที่ย้ายมาเพื่อชัยชนะ ขอยืนยันว่าไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าม็อบชนะหรือแพ้ แต่อยู่ที่เหตุผล ทั้งนี้ ขอย้ำว่าไม่สลายม็อบ นายสุเทพสบายใจได้ ไม่ต้องมาท้าทาย นายสุเทพมีเบื้องหลัง ต้องให้อ่อนแรงไปเอง ที่นายสุเทพออกมารณรงค์จะได้แนวร่วมมากน้อยแค่ไหนตนไม่มั่นใจ แต่เชื่อว่าคนอย่างนายสุเทพจะเป็นผู้นำคนกรุงเทพฯ ไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปราศรัยของนายสุเทพมื่อคืนนี้ระบุว่า ศอ.รส.จะไปปิดล้อมการชุมนุมที่สวนลุมพินี โดย ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า "จะไปล้อมทำไม? กปปส. แพ้แล้ว พรรคพวกแตกกันหมดแล้ว เงินทองร่อยหรอ ศอ.รส.จะไปหาเรื่องทำไม ศาลก็มีคำสั่งว่าห้ามสลายม็อบ ถ้าไปคือไปจับผู้ต้องหาตามหมายจับคดีกบฏ ซึ่งเร็ว ๆ นี้หมายจับจะออกมาครบ เป็นคนละเรื่องกับการสลายม็อบ"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีการระดมมวลชนในสัปดาห์หน้าซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่องค์กรอิสระจะตัดสินคดีความของนายกรัฐมนตรี? ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า "นายสุเทพพูดเหมือนว่าตัวเองรู้ธง แต่ตนไม่ทราบว่านายสุเทพรู้จริงหรือไม่ เชื่อว่าอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้ง ที่นายสุเทพบอกว่าจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้นเป็นการเพ้อ เป็นไปไม่ได้"
ส่วนกรณีที่กองทัพบกออกมาแสดงความเป็นห่วงเกรงว่าจะมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ นั้น ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างหารือกับกองทัพ ซึ่งยืนยันว่าทหารและตำรวจยังสามารถปฏิบัติงานร่วมกันได้ดี ไม่มีความขัดแย้งแต่อย่างใด
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557
ผอ.ศอ.รส.สั่งการตำรวจเตรียมพร้อมรับสถานการณ์กรณี กปปส.ประกาศเคลื่อนไหวขั้นแตกหัก
ผอ.ศอ.รส.สั่งการรอง ผบ.ตร.เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจรองรับสถานการณ์กรณี กปปส. ประกาศชุมนุมเคลื่อนไหวขั้นแตกหัก เตรียมประชุมตำรวจนครบาลทั้งหมดช่วงบ่ายวันนี้ ย้ำไม่การสลายการชุมนุม เผยยังไม่ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3
วันนี้ (30 เม.ย.57) เวลา 10.45 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์ว่า ศอ.รส. จะยังไม่มีแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ออกมา ขอรอติดตามสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง โดยยังมั่นใจว่าใครจะทำอะไรที่ไหนก็เป็นสิทธิที่จะเคลื่อนไหว สุดท้ายต้องจบลงด้วยการเลือกตั้ง เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับวิธีการอย่างอื่น ส่วนตัวขอยืนยันว่าตนก็ประท้วงเป็น ปราศรัยเป็น ถ้ามีนายกรัฐมนตรีมาจากนอกกรอบ นอกระบบ ก็ขอให้ดูตนบ้าง ตนไม่ได้ทำแบบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แต่เรียกร้องอำนาจนอกระบบ ตนยังยืนยันในแนวทางการเลือกตั้งให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเอาใครมาเป็นรัฐบาล แล้วปฏิรูปการเมือง ยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ และหากจะมีคนคัดค้านการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีก็ต้องหารือกับฝ่ายทหาร ส่วนการดูแลภายนอกถ้ารัฐบาลใช้ ศอ.รส.ก็จะเรียบร้อยไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศและไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจระดับผู้บังคับการจังหวัดไปขึ้นกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ผู้สื่อข่าวถามถึงการหารือระหว่างรัฐบาลกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในวันพรุ่งนี้ควรจะได้ข้อยุติในเรื่องวันเลือกตั้งหรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่าส่วนตัวแล้วไม่ได้ก้าวล่วงในเรื่องนี้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้มอบหมาย แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วต้องไปสู่การเลือกตั้ง ไปแนวทางอื่นไม่ได้เพราะทั่วโลกไม่ยอมรับ ประเทศในอาเซียนกำลังลังเลว่าประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น เพราะ 9 ประเทศเขาเรียบร้อยหมด พม่าก็ยกย่องนางอองซาน ซูจี เพราะมาจากการเลือกตั้ง แล้วประเทศไทยจะกลับไปสู่เผด็จการหรืออย่างไร?
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ฝ่ายการเมืองยังสามารถที่จะแก้ปัญหาได้หรือไม่? ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ไม่ใช่มีปัญหาเพราะนักการเมือง แต่มีปัญหาเพราะพวกที่อยู่ข้างหลังอยากมีอำนาจ อยากเรียนทางลัด อยากเป็นนายกฯ ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง มีนักวิชาการส่วนหนึ่งที่หวังส้มหล่น ตนอยากเห็นว่า นายสุเทพจะทำอย่างไรวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ถ้าแตกหักก็แตกหัก บ่ายวันนี้ตนจะประชุมร่วมกับตำรวจนครบาลทั้งหมด โดยได้สั่งการ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ระดมกำลังรอรับการแตกหัก แต่ไม่ไปสลายการชุมนุม คนที่อยู่ข้างหลังนายสุเทพ ถ้าไปไม่ไหวก็ควรเลิก แต่มาทำอึมครึม ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาเดินสายพบหลาย ๆฝ่าย ตนไม่ขอระบุว่าเป็นใคร แต่ใครก็ตามที่ดำเนินการให้มีการเลือกตั้งก็น่าชื่นชมยินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต. ยืนยันว่าการหารือกับรัฐบาลในวันพรุ่งนี้จะกำหนดจัดการเลือกตั้งวันที่ 20 ก.ค.57 ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า หน้าที่การกำหนดวันเลือกตั้งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ตามกฎหมาย แต่เมื่อ กกต. ตัดสินใจแล้วจะต้องมาบอกกับรัฐบาลในเรื่องงบประมาณ เรื่องความพร้อม เรื่องการสนับสนุนการเลือกตั้ง ซึ่งถูกต้อง แต่ถ้ารออีก 2 ปี จะยุ่งยาก ผู้สื่อข่าวถามต่อว่านายสุเทพระบุว่าจะขัดขวางการเลือกตั้ง โดยจะยกหีบบัตรหนี ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า “ก็จับ จะเอาไว้ทำไม”
ศอ.รส.เรียกร้องเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง-ประธานศาลปกครองสูงสุดพิจารณาตนเองกรณีกระทำการเข้าข่ายแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ
ศอ.รส.เรียกร้องเลขาฯ สำนักงานศาลปกครอง-ประธานศาลปกครองสูงสุดพิจารณาตนเองกรณีกระทำการเข้าข่ายแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ถือผิดต่อจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง ชี้บทวิเคราะห์การเมืองไทยเว็บฯไฟแนนเชียลไทม์สอดคล้องข้อห่วงใย ศอ.รส. ย้ำเรียกร้องแกนนำกลุ่มต่างๆ หลีกเลี่ยงเผชิญหน้า เข้าสู่กระบวนการเจรจาให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
วันนี้ (30 เม.ย.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.ท.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนางสาวสิริมา สุนาวิน คณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. แถลงผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
เรื่องที่ 1 เมื่อวานนี้ คือวันที่ 28 เมษายน 2557 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติขยายเวลาการบังคับใช้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 เมษายนนี้ ออกไปอีก 61 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2557 เนื่องจากมีความจำเป็นในการบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร และพลเรือนเพื่อดูแลสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้ยังมีการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชน มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพื่อดูแลความเรียบร้อยในการจัดการเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้ร้องขอ ซึ่งจะมีขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย ศอ.รส. ขอเรียนว่า ศอ.รส. จะกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติงานรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันและระงับยับยั้งเหตุร้ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง ศอ.รส. ได้มีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ และปรับแผนการปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เรื่องที่ 2 ศอ.รส. ได้รับทราบเกี่ยวกับบทวิเคราะห์การเมืองไทยโดยเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 โดยระบุว่า มีสัญญาณบอกเหตุว่าจะมีเหตุร้ายรุนแรงเกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดในปัจจุบัน โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่เตรียมถอดถอนนายกรัฐมนตรีโดยใช้คดีความทางกฎหมายกับกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลที่กำลังรวบรวมคนในต่างจังหวัด และการต่อสู้ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศ เศรษฐกิจ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือขณะนี้ยังไม่มีทางออกสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น บทวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับข้อห่วงใยของ ศอ.รส. ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงจากการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชน ดังนั้น ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ทุกองค์กรและทุกหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงเรียกร้องให้แกนนำมวลชนกลุ่มต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน และเข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อให้ชาติบ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
เรื่องที่ 3 ศอ.รส. ได้รับทราบกรณีมีการนำเสนอภาพถ่ายเอกสาร ซึ่งนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ที่ได้ทำบันทึกไปถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้สนับสนุนให้ พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงสกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับ ให้ไปขึ้นเป็นผู้กำกับการ โดยให้เหตุผลว่าได้ช่วยดูแลการปฏิบัติภารกิจของประธานศาลปกครองสูงสุดในหลายโอกาส ซึ่ง ศอ.รส. มีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจอย่างชัดเจน ซึ่งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองก็ได้ออกมาแถลงรับว่าได้ทำบันทึกดังกล่าวจริง และแม้จะพยายามอธิบายว่าเป็นเพียงการชื่นชมข้าราชการตำรวจคนดังกล่าวของประธานศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาของการทำบันทึกและการออกมายอมรับดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำที่สมควรตำหนิและประณามอย่างยิ่ง เพราะเป็นการกระทำผิดต่อจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญโดยผู้นำสูงสุดของฝ่ายตุลาการในศาลปกครอง ทั้ง ๆ ที่ศาลปกครองสูงสุดเพิ่งจะมีคำพิพากษาว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบ ซึ่งก็ยังเป็นข้อสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอยู่ด้วยแต่กระนั้น การกระทำของนายกรัฐมนตรีก็ยังเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะที่การกระทำของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองกับประธานศาลปกครองสูงสุดในกรณีนี้ เป็นการกระทำที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจเลย ซ้ำร้ายกลับเป็นการกระทำผิดต่อจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งด้วย แม้ว่า ศอ.รส. จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินคดีในกรณีนี้ก็ตาม แต่ ศอ.รส. ก็ห่วงใยว่า กรณีนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะเพิ่มความไม่เชื่อถือคำพิพากษาคดีของนายกรัฐมนตรี เรื่องการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อันจะนำไปเป็นประเด็นเพิ่มความขัดแย้งของคน 2 กลุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นภารกิจของ ศอ.รส. ด้วยที่จะต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในที่สุด ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องให้บุคคลทั้งสองในศาลปกครองดังกล่าวพิจารณาตนเองด้วย
วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 25/04/2014
April, 25 2014,
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day.
1. Following the CAPO's statement regarding legal actions against Mr.Suthep Thaugsuban and other leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) and warning the public to not participate to the demonstrations. The demonstrations have been categorized as a special case under responsibility of the police, the Department of Special Investigation, and the Attorney-General. It is considered appropriate to issue arrest warrants against 80 PDRC's leders in several cases. The investigation has been concluded and will be transferred to the Attorney-General on 1 May 2014 and it is expected that legal orders could be achieved by 10 May 2014.
2. The CAPO has been concerned the violences that continuously occurs especially gunfire on the public such as the incident on 14 April which 2 teenagers were shot near the Chaengwatthana Road protest site, and on 23 April that passing motorcycle riders near the Chaengwatthana Road protest site were shot which left 5 injuries. Both incidents have proved that the members PDRC have used violences including obtained weapons. The demonstrations have been carried out without peace manners. The CAPO wished to encourage the public to avoid traveling near the protest sites. In order to maintain safety for the public, the police has already changed traffic routes nearby the site on Chaengwatthana Road.
3. The CAPO has received a report that Colonel Vitawat Watthanakul who was walking home near the Chaengwatthana protest site was shot by the PDRC security guards. He is injured at his both legs. This can be proved that the PDRC at the Chaengwatthana Road has used weapons against both the public and the government officials.
4. The CAPO has received a report that Mr.Kamol Duangpasuk "Mai Nung Kor , a Red Shirt Poem was shot. The CAPO has instructed the officers to continue with the investigations to bring the suspect to justice. The CAPO has been concerned that the incident could lead to more conflicts among various political groups and also wished to request all groups to not instigate more hatred against other groups. The CAPO also wished to urge the public to use judgements while receiving news and information.
5. The CAPO has received a report regarding the firing of M79 grenade on the building of Daily News news agency. Following the incident, the CAPO wished to condemn an action. The Daily News was attacked just a day after it solely published images of gun exchanges at the Chaengwatthana Road.
สรุปผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
เรื่องที่ ๑ ตามที่ศอ.รส. ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๒ เรื่อง การดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. และแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุม เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายนที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. ขอเรียนว่า ศอ.รส. ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินคดีแกนนำผู้จัดการชุมนุม ซึ่งมีการกระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นคดีพิเศษในข้อหาฐานความผิดร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อเหตุความไม่สงบในบ้านเมือง ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ และในฐานความผิดอื่นๆ ซึ่งขณะนี้การสอบสวนในคดีพิเศษดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว คณะพนักงานสอบสวน ซึ่งประกอบด้วย พนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน รวมทั้งหมด ๘๐ คน โดยกำหนดส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังพนักงานอัยการในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นี้ ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษจะได้มีคำสั่งทางคดีและฟ้องผู้กระทำผิดได้ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ดังนั้น ศอ.รส. จึงได้ออกแถลงการณ์ดังกล่าวเพื่อแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบถึงการดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. พร้อมทั้งแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน อย่าได้หลงเชื่อการปราศรัยชวนเชื่อของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกับพวก และงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่ม กปปส.
เรื่องที่ ๒ ศอ.รส. มีความกังวลต่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่ประชาชน ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายนที่ผ่านมาซึ่งวัยรุ่น ๒ คนถูกยิงได้รับบาดเจ็บใกล้เวทีชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะ ขณะขับรถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณดังกล่าว และเมื่อเช้ามืดของวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมาก็เกิดเหตุในทำนองเดียวกัน ซึ่งมีการยิงอาวุธปืนใส่ผู้ที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านบังเกอร์ของกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะ จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง ๕ ราย เหตุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่ม กปปส. มีการใช้ความรุนแรงและสะสมอาวุธปืน จึงไม่ใช่การชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ ศอ.รส. จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณการชุมนุม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางการจราจรบริเวณการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่ถนนแจ้งวัฒนะแล้ว
เรื่องที่ ๓ ศอ.รส. ได้รับรายงานถึงเหตุการใช้ความรุนแรงบริเวณการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะอีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น. พ.อ. วิทวัส วัฒนะกุล ซึ่งเดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวเพื่อกลับบ้านพัก ได้ถูกกลุ่มการ์ด กปปส. ยิงปืนใส่หลายนัดที่ขาทั้ง ๒ ข้าง และยังถูกการ์ด กปปส. รุมทำร้ายอีกด้วย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มการ์ด กปปส. แจ้งวัฒนะ มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ที่สัญจรผ่านไปบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม
เรื่องที่ ๔ ศอ.รส. ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้นายกมลฯ เสียชีวิต ซึ่ง ศอ.รส. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอประนามผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ และ ศอ.รส. มีความกังวลอย่างยิ่งว่าเหตุลอบยิงนายกมลฯ อาจเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงขอเรียกร้องให้แกนนำอย่าได้ปลุกระดมมวลชนให้เกิดความรู้สึกต่อต้านหรือเกลียดชังอีกฝ่าย และขอให้พี่น้องประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสารต่างๆ
วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557
ผอ.ศอ.รส.เผยแถลงการณ์ ศอ.รส. ฉบับ 2 วันนี้ ระบุผลการทำงานของ ศอ.รส.จะทำให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น
วันนี้ (24 เม.ย.57) เวลา 10.30 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์กรณีที่อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ยื่นฟ้อง ศอ.รส. เกี่ยวกับการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 จะส่งผลให้นำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ว่า แล้วแต่การวินิจฉัยของศาล ตนมีหน้าที่ต่อสู้คดี ไม่มีความกังวลในเรื่องนี้เพราะมีกรณียุบพรรคเมืองอยู่บ่อย ๆ หากยุบก็ตั้งพรรคใหม่ และตนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย การออกแถลงการณ์ทำในหน้าที่ ผอ.ศอ.รส. ซึ่งมี พ.ร.บ.ความมั่นคงให้อำนาจ ไม่ได้ทำในนามพรรคเพื่อไทย เป็นคนละเรื่องกัน ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด และไม่มีอะไรมาบั่นทอน ศอ.รส. ได้โดยเฉพาะตนที่ไม่มีอะไรมาบั่นทอน ได้ เพราะทำไปบนหลักการและพื้นฐานของกฎหมาย การที่เป็น ผอ.ศอ.รส. และกรรมการ ศอ.รส. ถ้าจะมีแนวความคิดเสนอแนะเพื่อให้บ้านเมืองสงบ แต่ไม่มีสิทธิ์เสนอแนะแล้วมาทำหน้าที่ได้อย่างไร โดยวันนี้ ศอ.รส.จะออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ที่มีเนื้อหาชัดเจน ระบุผลการทำงานของ ศอ.รส. ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามความเห็นของ ร.ต.อ.เฉลิม กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติขยายเวลายื่นคำชี้แจงให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งในส่วน ร.ต.อ.เฉลิม เป็นผู้หนึ่งที่มีรายชื่อในการให้ข้อมูลสนับสนุนเรื่องนี้ โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า “ผมไปก้าวล่วงไม่ได้หรอก เรื่องขยายหรือไม่ขยาย แต่ผมมีสิทธิ์พูด ผมก็เรียนมาเหมือนศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าท่านตัดสินไปอย่างนี้ ถ้าไปถึงตรงนั้นจะเกินไปไหม สมัยนายกฯ สมัคร ตัดสินไว้อย่างนี้ แล้วมาคราวนี้จะไปเป็นอย่างอื่น ถ้าพูดแค่นี้แล้วผิด แล้วจะอยู่กันอย่างไรประเทศไทย ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องจะมาเป็นอย่างนี้ ทีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย้ายพลโท สุรพล เผื่อนอัยกา ทำไมนายอภิสิทธิ์ย้ายได้ แล้วย้าย พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ได้ ประชาธิปัตย์ทำได้หมด แต่เพื่อไทยทำอะไรผิดหมด ผมจึงบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้จะนองเลือด”
โดย ร.ต.อ.เฉลิม ยังเปิดเผยด้วยว่า กำลังร่างหนังสือเตรียมข้อมูลให้นายกรัฐมนตรี ประกอบการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการโยงไปถึงกรณีสมัยที่ ร.ต.อ.เฉลิม กำกับดูแลงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วได้มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กรณีดังกล่าวยืนยันได้หรือไม่ว่าการโยกย้ายในครั้งนั้นมีความถูกต้องชอบธรรม โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวยืนยันว่ามีความถูกต้องชอบธรรม สมัยนั้นตนจะให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มาปราบยาเสพติด เพราะ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เก่งเรื่องปราบยาเสพติด แม้กระทั่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เกษียณราชการแล้วก็ยังมาช่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติด คนเป็นตำรวจรู้กันว่าใครมือถึง ใครใช้ไม่ได้ ใครเหมาะกับทำงานไหน ตนรู้จักตำรวจดี ต้องตัดสินใจสลับออก ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการโยกย้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แทน พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนอ่านหนังสือพิมพ์ยังตกใจ ไม่ทราบข้อเท็จจริง ยังพูดไม่ได้ ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไม่มีหน้าที่คุมตำรวจ หน้าที่กำกับดูแลงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน้าที่ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก.ต.ร.
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเหตุการณ์ยิงนายกมล ดวงผาสุก หรือไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีคนเสื้อแดงเสียชีวิตอย่างอุกอาจเมื่อวานนี้ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่ากำลังติดตามอยู่ โดยหน่วยสืบสวนจะเข้าพบรายงานความคืบหน้าให้ทราบในช่วงเที่ยงวันนี้ ซึ่งตนมีความห่วงใยสถานการณ์ เพราะตนรู้ข้อมูลลึก ๆ แต่ไม่ขอพูด เพราะหากพูดสื่อบางสื่อจะบอกว่าเฉลิมข่มขู่ คดีนี้ยังฟันธงไม่ได้ ต้องรอฟังการรายงานก่อน ซึ่งตนมีความเป็นห่วงทุกคนที่เกี่ยวข้องในทางการเมืองไม่ใช่เฉพาะแกนนำ นปช. ก็ได้แต่เตือนและบอกกัน
ภายหลังการให้สัมภาษณ์ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือต่อ ผอ.ศอ.รส. เพื่อให้ตรวจสอบการ์ดและกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. เนื่องจากมีหลักฐานพบว่ามีการพกพาอาวุธและก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งเห็นได้จากการใช้อาวุธปืนกราดยิงที่ถนนแจ้งวัฒนะเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 24/04/2014
April, 24 2014,
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day.
The CAPO is a special unit established under the 2008 Internal Security Act with a main duty to integrate forces with military officers, police officers, and civil officials in order to maintain peace and order. For 37 days that the CAPO has performed its duties with focus on taking legal actions against leaders of the protesters especially Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC). The demonstrations have been categorized as a special case under responsibility of the police, the Department of Special Investigation, and the Attorney-General. The Criminal Court has approved arrest warrants against 80 PDRC's leders in several cases. The investigation has been concluded and will be transferred to the Attorney-General on 1 May 2014.
1. The CAPO has focused on the law enforcement in order to prevent revenges from political groups.
2. The CAPO wished to remind the public to not be convinced by any discourse made by Mr.Suthep and the PDRC as it could lead to the law violation.
3. The participation with the protesters not only violate the law but also could be risk for the safety.
4. The CAPO reaffirmed that it will continue proceeding with legal actions against Mr.Suthep and PDRC's leaders.
5. The CAPO intended not only to take actions against the PDRC, but also against every political groups that violate the law.
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day.
The CAPO is a special unit established under the 2008 Internal Security Act with a main duty to integrate forces with military officers, police officers, and civil officials in order to maintain peace and order. For 37 days that the CAPO has performed its duties with focus on taking legal actions against leaders of the protesters especially Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC). The demonstrations have been categorized as a special case under responsibility of the police, the Department of Special Investigation, and the Attorney-General. The Criminal Court has approved arrest warrants against 80 PDRC's leders in several cases. The investigation has been concluded and will be transferred to the Attorney-General on 1 May 2014.
1. The CAPO has focused on the law enforcement in order to prevent revenges from political groups.
2. The CAPO wished to remind the public to not be convinced by any discourse made by Mr.Suthep and the PDRC as it could lead to the law violation.
3. The participation with the protesters not only violate the law but also could be risk for the safety.
4. The CAPO reaffirmed that it will continue proceeding with legal actions against Mr.Suthep and PDRC's leaders.
5. The CAPO intended not only to take actions against the PDRC, but also against every political groups that violate the law.
แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๒
แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๒
เรื่อง การดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.
และแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุม
----------------------------------------
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม
ตลอดเวลา ๓๗ วันที่ได้มีการจัดตั้ง ศอ.รส. ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งปวงให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ตลอดมาในระดับหนึ่งนั้น ศอ.รส. ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินคดีแกนนำผู้จัดการชุมนุม ซึ่งมีการกระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นคดีพิเศษ มีการสอบสวนร่วมกัน ๓ ฝ่าย คือ พนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุด ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อเหตุความไม่สงบในบ้านเมือง ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ และในฐานความผิดอื่นๆ ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกในข้อหาฐานความผิดร่วมกันเป็นกบฏ ดังกล่าว พร้อมแกนนำอื่นๆ อีกหลายคน ซึ่งขณะนี้มีผู้ต้องหารวมทั้งสิ้นถึง ๘๐ คน อาทิเช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายชุมพล จุลใส , นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, นายอิสสระ สมชัย, นายวิทยา แก้วภราดัย, นายถาวร เสนเนียม, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์, นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก, นายนิติธร ล้ำเหลือ, นายอุทัย ยอดมณี ,นายถวิล เปลี่ยนศรี, พระพุทธะอิสระ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ต้องหาบางคนมีข้อหาฐานความผิดเพิ่มเติมเฉพาะตัวอีกด้วย เช่น นายอิสสระ สมชัย ในข้อหาฐานความผิดพยายามฆ่า เป็นต้น ซึ่งได้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมแล้ว ๒ คน และเข้ามอบตัวอีกจำนวน ๖ คน
บัดนี้ การสอบสวนในคดีพิเศษดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว คณะพนักงานสอบสวนจึงได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน ตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกที่เป็นแกนนำ กปปส. ตามข้อหาฐานความผิดดังกล่าว โดยกำหนดส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังพนักงานอัยการในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นี้ ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษจะได้มีคำสั่งทางคดีและฟ้องผู้กระทำผิดได้ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อันเป็นวันครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายของผู้ต้องหาบางคน โดยหากผู้ต้องหาคนใดที่ยังไม่เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ก็จะได้ขอออกหมายจับหลังจากพนักงานอัยการได้มีคำสั่งควรสั่งฟ้องดังกล่าว
ศอ.รส. จึงเห็นสมควรออกแถลงการณ์เพื่อแจ้งให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ ดังต่อไปนี้ ศอ.รส. ให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดเป็นสำคัญ เพราะจะเป็นผลให้สถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายไปได้ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และป้องกันมิให้ประชาชนใช้การแก้แค้นลงโทษกันเอง ซึ่งผลการดำเนินคดีได้คืบหน้าไปตามกฎหมายแล้ว ดังกล่าวมาข้างต้น
ศอ.รส. ขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ได้โปรดเข้าใจว่า การอภิปราย ชักจูง หรือปราศรัยชวนเชื่อ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก อยู่ในขณะนี้ เป็นความพยายามของผู้ต้องหาที่มุ่งหวังกระทำการทั้งหลายทั้งปวง เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ที่ต้องหาว่ากระทำความผิด และมีหมายจับในฐานร่วมกันเป็นกบฏจากศาล จึงขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. และไม่หลงเชื่อที่จะมีการชักชวนให้ร่วมเข้าชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 30 เมษายน 2557 นี้
การเข้าร่วมชุมนุมกับแกนนำ กปปส. นั้น นอกจากอาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดตามกฎหมายแล้ว ยังอาจได้รับอันตราย ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องมาด้วย
ศอ.รส. ยืนยันว่า จะได้เร่งรัดให้มีการจับกุมดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกอย่างเร่งรีบต่อไป โดยคำนึงถึงความสูญเสียของเจ้าหน้าที่และประชาชนด้วย เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก มีการ์ด กปปส. ห้อมล้อมด้วยอาวุธร้ายแรงต่างๆ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่
ศอ.รส. มิได้มุ่งหมายดำเนินคดีกับแกนนำ เฉพาะ กปปส. เท่านั้น แต่ได้กำชับให้มีการดำเนินคดี กับแกนนำผู้กระทำผิดในทุกๆ กลุ่ม ที่ได้กระทำผิดขึ้นในบ้านเมือง ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส.
ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นของฝ่ายบริหาร ศอ.รส. โดยมิได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมแถลง หรือแสดงความเห็นด้วย
จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
๒๔ เมษายน ๒๕๕๗
วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557
ผอ.ศอ.รส.ขอให้ กกต.จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว-ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ยันกระแสข่าวแปรรูป กฟผ.ไม่เป็นจริง
ผอ.ศอ.รส.ขอให้ กกต.จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว-ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ระบุ กกต. อย่านำพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวตั้ง ยันกระแสข่าวแปรรูป กฟผ.ไม่เป็นจริงตามเลขาธิการ กปปส.ปราศรัย เผยหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินนายกรัฐมนตรีเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด ในฐานะพสกนิกรพร้อมพึ่งพระบารมีขอพระบรมราชวินิจฉัย
วันนี้ (23 เม.ย.57) เวลา 10.05 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์กรณีที่ถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยโจมตีอย่างรุนแรงเมื่อคืนที่ผ่านมารวม 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกนายสุเทพบอกว่าตนจะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ซึ่งเป็นคำพูดที่โกหก ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะตนคุม กฟผ. เพียง 3 เดือน ทั้งไม่มีหน้าที่คุมด้านเศรษฐกิจ เพียงแต่กำกับดูแล กฟผ. เมื่อเปลี่ยนบอร์ด กฟผ. ตนก็ถูกเปลี่ยนหน้าที่ สิ่งที่นายสุเทพพูดนั้นตนไม่คิดว่าคนที่เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เคยเป็นรัฐมนตรีจะพูดอย่างนี้ได้ เรื่องที่สอง นายสุเทพด่าตนว่าเป็นเดรัจฉาน ซึ่งตนไม่ขอบอกว่ารับได้หรือรับไม่ได้ โดยครอบครัวตนได้สอนมาว่าคนจะเป็นเดรัจฉานได้ต้องเป็นคนทุจริตคดโกง เอาแผ่นดินของชาติไปเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และต้องไม่คำนึงถึงศีลธรรม คบชู้สาว แต่ตนไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นเดรัจฉานเหมือนที่นายสุเทพพูด
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองแนวโน้มการจัดการเลือกตั้งจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ภาวนาว่าให้มีการจัดการเลือกตั้ง แต่เมื่อวานนี้ที่ กกต. หารือร่วมกับพรรคการเมืองนั้นพรรคประชาธิปัตย์กังวลเรื่องความปลอดภัยมากไป ตนเคยเป็นตำรวจกองปราบปรามมา 11 ปีรู้ว่าระเบิดพลีชีพจะใช้ต่อเมื่อจะฆ่าคนทีเดียวพร้อมกันมาก ๆ เมื่อวานตามข่าวบอกว่าจะยิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตัวแล้วคิดว่าคงไม่ถึงขั้นใช้ระเบิดพลีชีพ เพราะคนจะตายเป็นร้อยคน และคนที่ปาระเบิดก็ตายด้วย ใช้ปืนยิงทีเดียวจบ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่จะมีคนคิดร้ายกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่นั้นไม่ทราบ พวกที่คิดอย่างนี้ถือว่าบ้า ทำให้คนตกใจ มีคนโทรมาถามกันมากโดยได้ตรวจสอบกับหน่วยข่าวแล้วบอกว่าไม่มี คนที่พูดเรื่องนี้ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยเป็นตำรวจ ไม่เคยเป็นทหาร แต่พูดในหลักการของการสืบสวนสอบสวน ของความเป็นไปได้ในการประทุษร้ายต่อชีวิตร่างกาย ไม่มีใครที่จะบ้าไปฆ่าตัวตายเพื่อจะฆ่าคน ๆ เดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองเรื่องนี้ว่าเป็นกระบวนการขัดขวางที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ และจะเป็นปัญหาตามมาหรือไม่ที่พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมประชุมกับ กกต. โดย ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ไปร่วมการหารือ กกต. ก็อย่าไปสนใจ พรรคไหนไม่ไปก็ไม่ต้องประชุม หน้าที่การเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหน้าที่ของ กกต. ในการจัดการเลือกตั้ง อย่าเอาพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นตัวตั้งจนกระทั่งต้องล้มการเลือกตั้ง และถ้าฟังนายสุเทพคนเดียวแล้วยึดโยงประเทศไปหมดก็ยกประเทศให้นายสุเทพไป ส่วนที่ถามว่าวันที่ 20 ก.ค.นี้ อาจเป็นวันที่จัดการเลือกตั้งได้นั้น ความเห็นส่วนตัวยังยืนยันว่าทรงเดิม ถ้าเปลี่ยนวิธีการรับสมัครทางอินเทอร์เน็ตได้ แล้วรัฐบาลขอร้องกองทัพให้ความร่วมมือจัดการเลือกตั้งในพื้นที่หน่วยทหาร และถ้ารัฐบาลมอบหมายให้ทำหน้าที่ตนก็จะทำหน้าที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศอ.รส. จะเชิญ กกต. มาเพื่อให้ความมั่นใจเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า เรื่องอย่างนี้ไม่เชิญ กกต. ต้องมาขอร้อง และขณะนี้ ศอ.รส. กำลังตรวจสอบว่า กกต. ประวิงเวลาหรือไม่ มีเหตุอันควรเชื่อได้หรือไม่ว่าละเลยการจัดการเลือกตั้ง ว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าเข้าลักษณะนี้ก็จะออกแถลงการณ์ เมื่อถามต่อว่า ศอ.รส. เตรียมที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แจ้งความ กับ กกต. หรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ไม่ใช่ วันนี้ยังไม่คิด เพราะ กกต. ขะมักเขม้น แต่ขอฝากบอก กกต. ว่า การตัดสินใจจัดการเลือกตั้งเป็นอำนาจของ กกต. และ กกต. มี 5 คน อย่าให้คนหนึ่งคนมาชี้นำ เพราะคนชี้นำวันนี้สังคมด่า ไปเปิดเครือข่ายสื่อสารทางสังคมดูได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อมูลว่าหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินนายกรัฐมนตรีกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เกินกว่ารัฐธรรมนูญ ศอ.รส. มีแนวคิดที่จะเสนอนายกรัฐมนตรีคนกลาง ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า “ผมไม่เคยพูด คนที่เอามาบอกเป็นพวกเพ้อเจ้อ ผมบอกว่าถ้าตัดสินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องพึ่งพระบารมีขอพระบรมราชวินิจฉัย ว่าสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญทำไปถูกต้องหรือไม่ ผมเป็นพสกนิกรเหมือนกัน ถ้าผมทุกข์ร้อนผมก็พึ่งพระบารมี โดยจะทำหนังสือกราบบังคมทูลฯ รายละเอียดข้อเท็จจริง ผมเขียนเป็น และไม่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และที่บอกว่าผมจะเป็นคนขอทูลเกล้าฯ นายกฯ ด้วยตัวเองนั้นไม่จริง เป็นคนละเรื่อง ผมยังไม่บ้า”
ผอ.ศอ.รส. กล่าวด้วยว่า ในการขอพึ่งพระบารมีจะพิจารณาว่าจะทำเรื่องกราบบังคมทูลฯ ในนามส่วนตัว หรือในนามของอดีต ส.ส. 9 คน โดยไม่ต้องทำในนามของ ศอ.รส. เพราะตนก็เป็นพสกนิกรคนหนึ่งที่ได้รับความทุกข์ร้อนและมีความเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเกินกว่าบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญกำหนด ฝืนมาตรา 181
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ศอ.รส. เป็นผู้เสนอแนวคิดดังกล่าว ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ไม่จริง อย่าไปโทษนายธาริต เป็นเพียงเรื่องที่คิดกัน เมื่อวานนี้ตนก็ได้นำคำสั่งศาลสมัยที่ตัดสินอดีตนายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช มาให้ดูว่าครั้งนั้นศาลได้ตัดสินให้อดีตนายกฯ สมัคร พ้นจากหน้าที่คนเดียว คณะรัฐมนตรียังอยู่ครบ ถ้าครั้งนี้บอกว่าออกไปหมด พวกตนก็จะพึ่งพระบารมี แต่ไม่ได้ขอนายกฯ ตนไม่ได้บ้าอย่างนายสุเทพที่จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่เคยคิด นายธาริตก็ไม่เคยคิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนกับว่าขณะนี้รัฐบาลได้ฟันธงไปแล้วว่าการตัดสินคดีของนายกรัฐมนตรี มีแนวโน้มที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่านายกรัฐมนตรีมีความผิดใช่หรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า เรียกว่าเป็นการวิเคราะห์ นายกฯ อาจจะไม่ผิดก็ได้ การประเมินสถานการณ์ข่าวต้องประเมินทางลบไว้ก่อน ถ้าประเมินทางบวกแล้วเป็นลบจะแก้ไม่ทัน ถ้าประเมินทางลบแล้วเป็นบวก ก็จบ เมื่อถามต่อว่า ทำไมจึงมีแนวโน้มออกมาว่าจะพยายามไม่ให้คณะรัฐมนตรีพ้นสภาพไปพร้อมกับนายกฯ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า แล้วสมัยอดีตนายกฯ สมัคร ตัดสินอย่างไร
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 23/04/2014
April, 23 2014,
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day, gist as follows:
1. Following a clash between the protesters at the Chaengwatthana Road, the CAPO has received a report that 2 bullets were fired and security guards of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) have seized 3 police officers in the venue including their guns. One police officer has filed a complain against the PDRC's security guards. The CAPO wished to express the appreciation to those officers who have performed their duties and instructed officers to arrest the gunman as soon as possible. However, the CAPO expressed its concerns on a clash between groups of protesters especially during the verdicts of the National Anti-Corruption Committee (NACC) and the Constitution Court. The CAPO encouraged leaders of all political groups to end their demonstrations including urging the public to participate as it could lead to a clash. If any incident occurs, those leaders will have to take responsibility both in criminal and civil aspects.
2. Following the meeting between the Election Commission (EC) and representatives from political parties, the EC has set the possible schedules for the new election; 20 July, 17 August, or 14 September. However, the meeting has not achieved any concrete agreement on the date of election. The CAPO wished to urge the EC to hold the election as soon as possible in order to have the new government. The CAPO also encouraged the EC to prepare for the election obstructions and the CAPO is ready to support the EC.
3. Following an article from the Financial Time newspaper on 22 April 2014 on the political situation in Thailand that has reached the crisis with an attempt for the coup by several organizations, the Financial Time also indicated that the Constitution Court, the NACC, and the EC are bringing the situation into a struggle between the elite class and and voters in rural areas which has lasted for 8 years through the case of transferring the former Secretary-General of the National Security Council by the Constitutional Court and the case of the Rice Pledging Scheme by the NACC. The content of the said article has been in accordance with previous statements of the CAPO. The CAPO wished to encourage concerned agencies to perform their duties sincerely.
ศอ.รส.ย้ำเรียกร้องแกนนำทุกกลุ่มยุติการชุมนุม-เรียกร้อง กกต.จัดการเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อมีรัฐบาลชุดใหม่บริหารประเทศ แก้ไขปัญหาขัดแย้งในชาติ
ศอ.รส.เผยกังวลต่อเหตุการณ์ยิงปืนใส่กลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.-กวป.ที่ศูนย์ราชการฯ วานนี้ ชี้แสดงให้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างมวลชนสองฝ่าย กำชับเร่งรัดนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ย้ำเรียกร้องแกนนำทุกกลุ่มยุติการชุมนุม ไม่ปลุกระดมเรียกคนร่วมชุมนุมใหญ่ พร้อมเรียกร้อง กกต.จัดการเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อมีรัฐบาลชุดใหม่บริหารประเทศ-แก้ไขปัญหาขัดแย้งของคนในชาติ โดย ศอ.รส.ยินดีสนับสนุนให้การเลือกตั้งเรียบร้อยหาก กกต.ร้องขอ
วันนี้ (23 เม.ย.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต นายธันว์ พีรวุฒิ และ นางสาวสิริมา สุนาวิน คณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. แถลงผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
เรื่องที่ 1 ศอ.รส. ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวานนี้ระหว่างกลุ่มมวลชน กปปส. กับกลุ่ม กวป. ที่ต้องการมายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ บริเวณศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และมีการยิงปืน 2 นัดเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งการ์ด กปปส. ได้ควบคุมตัวตำรวจ 3 นายที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว พร้อมทั้งตรวจค้นและยึดอาวุธปืนของตำรวจอีก 1 นายที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งต่อมาตำรวจที่ถูกยึดอาวุธปืนได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับการ์ด กปปส. 10 คน ในข้อหาปล้นทรัพย์ ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยและป้องกันการปะทะกันไว้ได้ และ ศอ.รส.จะได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนำตัวผู้ก่อเหตุยิงปืนมาดำเนินคดีโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ศอ.รส. มีความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์นี้ เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชนสองฝ่ายตามที่ ศอ.รส.ได้ระบุไว้ในแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้น โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ การวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ 2 องค์กร คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้แกนนำทุกกลุ่มยุติการชุมนุมและไม่ปลุกระดมเรียกคนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ เพราะจะเป็นความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดการกระทบกระทั่งและก่อเหตุร้ายต่อกัน ซึ่งหากแกนนำยังคงฝ่าฝืนจนเกิดเหตุร้าย แกนนำทุกคนทุกกลุ่มจะต้องรับผิดชอบต่อการทำผิดกฎหมาย ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
เรื่องที่ 2 ศอ.รส. ได้รับรายงานเกี่ยวกับการประชุมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งกับหัวหน้าพรรคการเมืองหรือผู้แทนพรรคการเมืองเพื่อหารือการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป โดยในการประชุมดังกล่าวคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้ง 3 แนวทาง คือ วันที่ 20 กรกฎาคม วันที่ 17 สิงหาคม หรือวันที่ 14 กันยายน ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องวันเลือกตั้ง ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้ กกต. จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อจะได้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ นอกจากนี้ ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้ กกต. ดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการขัดขวางการเลือกตั้งซ้ำอีก ซึ่ง ศอ.รส. ยินดีให้การสนับสนุนแก่ กกต. เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากมีการร้องขอ อย่างไรก็ตาม หากมีการขัดขวางการเลือกตั้งเกิดขึ้นซ้ำอีก ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่ 3 ศอ.รส. ได้รับทราบเกี่ยวกับบทวิเคราะห์การเมืองไทยโดยเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557 คือเมื่อวานนี้ โดยระบุว่าวิกฤตทางการเมืองของไทยมาถึงขั้นอันตรายสูงสุดเมื่อกลุ่มต่อต้านนายกรัฐมนตรีผลักดันให้เกิดรัฐประหารโดยองค์กรตัดสิน ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าเสี่ยงที่จะนำประเทศไปสู่เผด็จการหรือสงครามกลางเมือง ที่สำคัญ ไฟแนนเชียลไทม์ได้ชี้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ กกต. กำลังนำสถานการณ์เข้าสู่จุดสำคัญของการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำกับผู้ออกเสียงเลือกตั้งในชนบทที่ดำเนินมานาน 8 ปี โดยใช้คดีความ 2 กรณีซึ่งมีกำหนดจะชี้ขาดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คือ คดีโยกย้ายเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของศาลรัฐธรรมนูญ และคดีโครงการรับจำนำข้าวของคณะกรรมการ ป.ป.ช. บทวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับความเห็นของ ศอ.รส. ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ศอ.รส. โดยผู้อำนวยการ ศอ.รส. และประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ทุกองค์กรและทุกหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมาโดยเห็นแก่ความถูกต้องและชาติบ้านเมือง
วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557
ผอ.ศอ.รส.ระบุหากมีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธผิดกฎหมายจะจับกุมทันที เผย ศอ.รส.จะออกแถลงการณ์ฉบับ 2
ผอ.ศอ.รส.ระบุหากมีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธผิดกฎหมายจะจับกุมทันที ย้ำ กกต. จะต้องรับผิดชอบหากไม่ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง เผย ศอ.รส.จะออกแถลงการณ์ฉบับ 2 ชี้ความพยายามของกลุ่ม กปปส.-กลุ่มอื่นที่อยากให้มีการตัดสินให้นายกฯ–ครม.พ้นหน้าที่ทั้งคณะ ไม่สามารถทำได้
วันนี้ (22 เม.ย.57) เวลา 10.10 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขเรียกร้องให้ยุบ ศอ.รส.ว่า เป็นความคิดของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนตัวไม่มีความเห็นตอบโต้ เพราะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นอำนาจของแพทย์ ส่วนเรื่องที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ มีความต้องการตั้งกองกำลังติดอาวุธหลังมีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่บ้านของปลัดกระทรวงสาธารณสุข แล้วทาง ศอ.รส.ไม่สามารถดูแลได้นั้น หากมีกลุ่มใดก็ตามที่ตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้น โดยไม่มีอำนาจในการตั้ง ตำรวจก็ต้องจับ กองกำลังติดอาวุธจะมีได้ต่อเมื่อกฎหมายอนุญาต จะนึกสนุกตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาเองนั้นไม่ได้ ปืนพกยังต้องมีใบอนุญาต ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่นิยมความรุนแรง ถ้าตำรวจพบการกระทำผิดจะจับกุม คดีระเบิดเกิดขึ้นหลายคดี ทั้งที่บ้านพักของตนและที่ ศอ.รส. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสืบสวนหาตัวผู้ทำผิดต่อไป ส่วนความคืบหน้าของคดีนั้น สาเหตุเกิดจากอะไรยังวิเคราะห์ยาก อย่าไปมองว่าเถียงกับรัฐบาล ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ถูกยิง ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ ถ้ารัฐบาลจะดุเด็ดขนาดนี้ไม่ได้ ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนจับผู้กระทำผิด ทั้งนี้ ตนให้ความสำคัญกับทุกคดีเหมือนกัน เป็นหน้าที่ของตำรวจและ ศอ.รส. เพราะพลเมืองคนไทยเป็นผู้มีเกียรติทุกคน ใครได้รับความเดือดร้อนก็ต้องดูแล
ผู้สื่อข่าวถามถึงมติที่ประชุม ศอ.รส. วานนี้ที่มอบให้ช่อง 11 และช่อง 9 ถ่ายทอดสดการประชุมหารือระหว่าง กกต. กับพรรคการเมืองในวันนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งขณะนี้ กกต. ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะให้มีการถ่ายทอดสดหรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ก็แล้วแต่ กรรมคือการกระทำ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ตนรู้ว่าปัญหาจะแก้ลงได้ต้องมีการเลือกตั้ง ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ ศอ.รส. รับรู้ รัฐบาลรับรู้ ประชาชนต้องรับรู้ด้วย เพราะอะไรถึงจะมาเหนี่ยวรั้งดึงดันยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยและเป็นหัวใจสำคัญ สมควรให้ประชาชนรับรู้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต. มีความเป็นห่วงว่าพรรคการเมืองจะใช้เวทีนี้ในการหาเสียงและผิดกฎหมาย ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า หากทำผิดกฎหมายก็จับกุมดำเนินคดีไป อย่ากังวล ตนเปิดโอกาสให้โดยใช้อำนาจ ผอ.ศอ.รส. ให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมหารือระหว่าง กกต. กับพรรคการเมือง เพื่อให้ประชาชนมีส่วนรับรู้ อย่ารับรู้เฉพาะพวกตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดที่จะแจ้งจับ กกต. หาก กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ไม่ใช่แนวคิดของตน แต่มีการวิเคราะห์โดยฝ่ายกฎหมายของ ศอ.รส. กรมสอบสวนคดีพิเศษ ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าถ้า กกต. มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งแล้วไม่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้วควรดำเนินคดีกับ กกต. หรือไม่ ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ ทั้งนี้ กกต. มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งแต่เมื่อถึงเวลาแล้วไม่จัดการเลือกตั้งโดยอ้างเหตุผลที่รับฟังไม่ได้และไม่น่าเชื่อถือ หากเกิดเหตุขัดขวางการเลือกตั้ง กกต. ก็ต้องบอกมายังรัฐบาลเพื่อหารือขอความร่วมมือ ถ้าเลือกข้างนอกแล้วมีการขัดขวาง ก็ขอความกรุณากองทัพให้ช่วยดูแล เพราะการเลือกตั้งไม่มีใครได้ใครเสีย ประชาชนได้ ถ้า กกต. ไม่ดำเนินการจัดเลือกตั้ง กกต. ต้องรับผิดชอบ โดย ศอ.รส. กำลังศึกษาข้อกฎหมายอยู่
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ กกต. จัดการเลือกตั้งช้าในขณะที่พรรคการเมืองอยากให้จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว จะถือเป็นช่องว่างในการแจ้งจับ กกต. ได้หรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ถ้า กกต. มีเจตนาจะจัดการเลือกตั้ง แต่ยังล่าช้าติดขัด มีเหตุผล อย่างนั้นต้องเปิดโอกาส หากเป็นกรณีละเลย ละทิ้ง ไม่ดำเนินการจัดการก็เข้าเกณฑ์ โดยต้องดูที่การกระทำ แต่ขณะนี้ยังไม่มีเหตุเท่าที่ควร และมองว่าสุดท้ายแล้ว กกต. ก็ต้องจัดการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นของศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยกว่า 350 คดี แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ โดยผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า เรียกว่ากระบวนการพิจารณา ไม่มีกฎหมายรองรับ ตัดสินกันไปเอง ซึ่งตนบารมีไม่ถึง ไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่คนที่เรียนด้านกฎหมายจะทราบ ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความพยายามของกลุ่ม กปปส.และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยากให้การตัดสินคดีนายกรัฐมนตรี มีผลให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรีพ้นจากหน้าที่ทั้งหมดนั้นมองว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากในอดีตที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีให้พ้นจากหน้าที่นั้น คณะรัฐมนตรียังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป พร้อมกับยืนยันว่า ศอ.รส.จะออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 และจากนี้ไปหากมีแถลงการณ์ออกมา ศอ.รส. จะใช้การหารือวงเล็กไม่รบกวนกองทัพ โดยกองทัพจะทำหน้าที่เฉพาะด้านความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวถามถึงการส่งสัญญาณว่าจะวางมือทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าส่วนตัวแล้วไม่ได้ยินเรื่องนี้เองจึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้บอกตน ต้องถามผู้ที่นำเรื่องนี้มาพูด ตนขอถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ วางมือแบบไหน วางที่ตักเพื่อสร้างความแนบแน่น หรือวางที่ไหล่เพื่อให้ความเชื่อมั่น หรือวางที่เข่าเพื่อเดินหน้าต่อ ซึ่งตนไปตัดสินใจแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ และตนไม่เคยเจอกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 22/04/2014
22 April 2014
At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day.
1. Following the 2 open letters written by Professor Dr.Ukrit Mongkolnavin, the first one was about the consideration of the Constitution Court on the termination of the premiership following the transferring of Mr.Tawin Pliensri, Professor Dr.Ukrit explained that the case was an authority of the Prime Minister and the Prime Minister and the cabinet have been in a position of caretaker, as a result, the termination of the premiership can be achieved only through the royal command. For the second letter, Professor Dr.Ukrit commented that the process of consideration of the Constitution Court is not following the rule of law as the Court has utilized their own created rules which are not written in the law. Both letters have been in accordance with the previous statement of the CAPO.
2. Following the previous verdict of the Constitution Court on the termination of the premiership of the former Prime Minister Samak Sundaravej number 12-13/2551, it was indicated that only the Prime Minister that was terminated while other Ministers should perform their duties. 8 from 9 members of the Court still remain in their same position.
3. Following the meeting between the CAPO and 37 Head of government agencies regarding the proceeding of legal actions against the protesters that blockaded government agencies premises, the CAPO believes that such instructions could deter any actions that affect the internal security.
4. Following concerns of the CAPO on the economic damages caused by the the demonstration of the People's Democratic Reform Committee (PDRC), the CAPO wishes to inform the public that from the survey by the University of the Thai Chamber of Commerce in March, it indicates that the political conflict has already caused more than 300,000 million Baht economic damages. The CAPO wishes to keep every political groups remined of such damages and to encourage all groups to solve the conflict with the peaceful means for the national interests.
สรุปผลการประชุม ศอ.รส. เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
เรื่องที่ ๑ ศอ.รส. ได้พิจารณาจดหมายเปิดผนึก ๒ ฉบับของศาสตราจารย์ ดร. อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ หรือ คอ.นธ. ซึ่งในจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ ๑ กล่าวถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ (๒) และ (๓) กรณีโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ (๗) โดยศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษฯ เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการรับคำร้องให้พิจารณากรณีดังกล่าว เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะได้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ก็เป็นการใช้อำนาจบริหารตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๘ ประกอบมาตรา ๒๖๖ แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยและมีคำวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ ก็ไม่มีผลทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา ๑๘๒ (๗) และไม่มีผลทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๐ วรรคหนึ่ง (๑) เนื่องจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นๆ นั้น พระมหากษัตริย์ทรงได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ดังนั้นความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะสิ้นสุดลง หรือรัฐมนตรีทั้งคณะจะพ้นจากตำแหน่ง ก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีแล้วเท่านั้น
ส่วนในจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ ๒ ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ ได้ให้ความเห็นว่า กระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เนื่องจากการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันเป็นการใช้ข้อกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดขึ้นเองฝ่ายเดียว โดยมิได้ตราขึ้นเป็นกฎหมายโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนดังเช่นกระบวนพิจารณาของศาลอื่นๆ เช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา และศาลปกครอง ดังนั้น ในเมื่อการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ดำเนินการไปโดยความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่ถือว่าเป็นเด็ดขาด ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงควรที่จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนไว้ก่อนจนกว่าจะได้ดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือหลักนิติธรรม
อนึ่ง ศอ.รส. ขอเรียนว่า ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับแถลงการณ์ ศอ.รส. ฉบับที่ ๑ และแสดงให้เห็นว่าความกังวลของ ศอ.รส. ว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญนั้น มิได้เป็นการคาดการณ์ที่ไร้มูลความจริง และศอ.รส. มิได้มุ่งหวังที่จะก้าวก่าย ทำลายชื่อเสียงหรือความเชื่อถือศรัทธาของศาลรัฐธรรมนูญตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายนที่ผ่านมา ในทางกลับกัน หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีนี้อย่างตรงไปตรงมาตามข้อกฎหมายก็จะเป็นการพิสูจน์เองว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และจะได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน
เรื่องที่ ๒ ตามที่ได้มีการออกแถลงการณ์ ศอ.รส. ฉบับที่ ๑ นั้น ศอ.รส. ห่วงใยว่า การตัดสิน ของศาลรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ประเด็นก่อให้เกิดความรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายต่างๆ และจากการตรวจสอบย้อนไป พบว่า เมื่อครั้งมีกรณีวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งและกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคณะได้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี คือ นายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น โดยมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจน เป็นมติเอกฉันท์วินิจฉัยกรณีดังกล่าวนี้ ว่า “ผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๗ มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๒ วรรคหนึ่ง (๗) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๗ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๒ จึงเป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๐ วรรคหนึ่ง (๑) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๑” ดังมีรายละเอียดปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑ ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยคำวินิจฉัยนี้ ได้พิจารณาโดยคณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเกือบทุกท่าน จำนวน ๘ ใน ๙ ท่าน ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน
เรื่องที่ ๓ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2557 ศอ.รส. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวง เลขาธิการ หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่เทียบเท่า รวมทั้งสิ้น ๓๗ หน่วยงาน เพื่อแจ้งข้อสั่งการของ ศอ.รส. ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า อธิบดีหรือเทียบเท่า ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินคดีอาญาและดำเนินคดีแพ่งโดยเร่งด่วนในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมายังสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐ แล้วทำการปิดล้อม บุกรุก หรือข่มขู่ หรือทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการต้อนรับหรือกระทำการใดๆ ที่เข้าข่ายเป็นการสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับการกระทำของแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีด้วย โดยข้อสั่งการดังกล่าวของ ศอ.รส. เป็นไปตามอำนาจตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ศอ.รส. เชื่อมั่นว่าการสั่งการเช่นนี้จะช่วยป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย และลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
เรื่องที่ ๔ ตามที่ ศอ.รส. มีข้อห่วงใยต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจอันเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานหลายเดือนนั้น ศอ.รส. ขอเรียนว่า จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพบว่า ความขัดแย้งทางการเมืองได้ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไปมากกว่า ๓ แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้น ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ประชาชน ผู้เข้าร่วมชุมนุม และแกนนำกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด ได้ตระหนักถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ และร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยสันติวิธีโดยเร็วเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ เพราะหากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวแล้วก็ยากที่จะแก้ไขได้
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 21/04/2014
21 April 2014
At 13.00., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day
1. Following the invitation of the CAPO to Permanent Secretaries of all government agencies on 17 April, today, the CAPO has issued a letter to Heads of all agencies to inform agreements from the meeting. The CAPO also instructed all agencies to proceed with legal actions against the protesters that blockaded government agencies premises and to avoid welcoming the protesters as it could be considered a support for the demonstrations. The CAPO with cooperation with various agencies, has successfully reopened 70 government agencies while 37 cases regarding the blockading of government agencies premises have been filed.
2. The CAPO has received a report from the Metropolitan Police and Provincial Police regional commands regarding the legal proceedings against the election obstructions. So far, there are 191 cases involving election obstructions (51 cases in Bangkok and 140 cases in other provinces) and 180 cases involving the failure of electoral officers to perform their duties (66 cases in Bangkok and 114 cases in other provinces). 203 person already faced arrest warrants. 258 person have been brought to justice.
3. In order to keep the public informed, the CAPO has instructed the Department of Public Relations or the NBT and the MCOT channel 9 to broadcast the discussion regarding the new Members of Parliament Election between the Election Commission (EC) and political parties that will be held on 22 April 2014. The CAPO considers that the election is the heart of democracy which will bring peace and order to the country.
ผอ.ศอ.รส.ย้ำแถลงการณ์ ศอ.รส.ไม่เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ-ไม่นำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย
ผอ.ศอ.รส.ย้ำการออกแถลงการณ์ ศอ.รส.ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และจะไม่นำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ระบุจะต่ออายุ พ.ร.บ.มั่นคงหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (21 เม.ย.57) เวลา 10.40 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ออกแถลงการณ์ภายหลังจาก ศอ.รส.มีแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรียกร้องไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ศอ.รส. ไม่มีความขัดแย้งกับทั้งสองหน่วยงานดังกล่าว โดย ศอ.รส.มีสิทธิที่จะออกแถลงการณ์บอก ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญว่า ศอ.รส.มีความห่วงใยจากการข่าวที่ว่ามีความพยายามที่จะตัดสินเกินบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ส่วนที่บอกว่าทั้งสองหน่วยงานมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม ตนก็ต้องขอขอบคุณ และขอให้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง ๆ เรื่องจะได้ไม่เกิด ตนเรียนกฎหมายมหาชน นักวิชาการก็บอกว่าทันทีที่ยุบสภาฯ นายกรัฐมนตรีแค่อยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่มีความพยายามบอกว่านายกฯ อยู่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ต้องออกไปเลย และมีการร้องว่าเมื่อนายกฯ ออก ก็ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากหน้าที่ทั้งคณะ ซึ่งตนก็ได้บอกว่าหากทำถึงขนาดนั้นจะเกิดการนองเลือด
“ ผมเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญก็รักบ้านรักเมืองเหมือนกัน ที่ผมออกแถลงการณ์ไป คุณไม่ฟังก็เรื่องของคุณ คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ แต่วันหนึ่งอย่ามาเสียใจ แล้วอย่ามาบอกว่า ศอ.รส. มีข่าวแล้วไม่บอกให้ทราบ ถ้าจะข่มขู่จะไปออกแถลงการณ์ทำไม พวกพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีงานทำ โดยเฉพาะโฆษกพรรคฯ ให้สัมภาษณ์ว่าผมผิด กบฏในราชอาณาจักร ไปดูกฎหมายประเทศไหน จะไปกบฏอย่างไร ผมแสดงความคิดเห็น ศาลฯ ตัดสินไปตามที่เป็นข่าว แล้ววันนั้นจะรู้ว่านายกฯ ที่มารับหน้าที่ใหม่ นรกมีจริง ไม่เกิน 72 ชั่วโมงบ้านเมืองมีเรื่อง คุณก็มีหน้าที่ ผมก็มีหน้าที่ แต่หน้าที่ต่างกัน ทำไมเราไม่ช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ หรืออยากให้มีการนองเลือด ให้มีการปฏิวัติเหมือนปี 2549 ผมฟันธงว่าทหารไม่ปฏิวัติ ขบวนการ กปปส. ขบวนการส้มหล่น ขบวนการนายกฯ คนกลางที่ตัดสูทไว้แล้ว เตรียมชุดขาวไว้รอ แพ้เรียบ” ผอ.ศอ.รส. กล่าว
ผอ.ศอ.รส. กล่าวด้วยว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปตัดสิน แล้วบอกว่านายกฯ ออก และให้คณะรัฐมนตรีออกทั้งคณะ จะเกินบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ จะเกิดการนองเลือด เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ยังอยู่ คนทั้งประเทศที่หนุนพรรคเพื่อไทยและเห็นความไม่เป็นธรรมจะไม่ยอม ซึ่งตนก็มีความห่วงใยจะพยายามไม่ให้เกิดการปะทะ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยึดหลักบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญให้ถูกต้อง ตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ยากต่อการเดาใจศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่าการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ของ ศอ.รส. ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นการดำเนินการที่ไม่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ศอ.รส. ใช่หรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ตามกฎหมายถูกต้องชอบธรรม กฎหมายเขียนชัด ไม่เรียกว่าเป็นการหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง ชื่อก็บอกชัดเจน
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการต่ออายุพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.มั่นคง ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการประกาศใช้ในวันที่ 30 เมษายนนี้หรือไม่ ผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายความมั่นคงจะเป็นผู้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
ศอ.รส.แจงข้อสั่งการตามมติที่ประชุม ศอ.รส.ต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นไปตามอำนาจตามความ ม.18 แห่ง พ.ร.บ.มั่นคง
ศอ.รส.แจงข้อสั่งการตามมติที่ประชุม ศอ.รส. ต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่าเป็นไปตามอำนาจตามความ-ข้อกำหนดออกตามความ ม.18 แห่ง พ.ร.บ.มั่นคง มอบช่อง 11-ช่อง 9 ถ่ายทอดสดการหารือจัดเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ ระหว่าง กกต.กับผู้แทนพรรคการเมืองพรุ่งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสารโดยตรง
วันนี้ (21 เม.ย.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต พ.ต.ท.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ นางสาวสิริมา สุนาวิน คณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. แถลงผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
เรื่องที่ 1 ตามที่ ศอ.รส. ได้เชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเข้าร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานั้น วันนี้ ศอ.รส. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวง เลขาธิการ หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่เทียบเท่า เพื่อแจ้งมติของที่ประชุมฯ ให้ทราบ และสั่งการให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า อธิบดีหรือเทียบเท่า ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินคดีอาญาและดำเนินคดีแพ่งโดยเร่งด่วนในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมายังสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐ แล้วทำการปิดล้อม บุกรุก หรือข่มขู่ หรือทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการต้อนรับหรือกระทำการใด ๆ ที่เข้าข่ายเป็นการสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับการกระทำของแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีด้วย ทั้งนี้ ข้อสั่งการดังกล่าวของ ศอ.รส. เป็นไปตามอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
อนึ่ง ขณะนี้ ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง 70 แห่งแล้ว และมีหน่วยราชการเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐแล้วทั้งหมด 28 หน่วยงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 37 คดี
เรื่องที่ 2 ศอ.รส. ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ วันที่ 21 เมษายน 2557 ว่า คดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งอันเกิดจากการกระทำของแกนนำ กปปส. กับพวก เมื่อครั้งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีดังนี้ 1) คดี กปปส. ขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 191 คดี แยกเป็นคดีที่เกิดในกรุงเทพมหานคร จำนวน 51 คดี และคดีที่เกิดในต่างจังหวัด จำนวน 140 คดี 2) คดีเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 180 คดี แยกเป็นคดีที่เกิดในกรุงเทพมหานคร จำนวน 66 คดี และคดีที่เกิดในต่างจังหวัด จำนวน 114 คดี รวมคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น 371 คดี โดยศาลได้ออกหมายจับให้ รวมทั้งสิ้น 203 หมาย ได้ตัวมาสอบสวนแล้ว 258 คน ทั้งนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งมีจำนวนถึง 1,713 คน ทั้งนี้ ศอ.รส.ขอย้ำเตือนว่า ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่มีทั้งโทษจำคุกและปรับ รวมถึงการตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
เรื่องที่ 3 เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสารโดยตรง โดยไม่มีการบิดเบือนอันเป็นส่วนสำคัญที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย ศอ.รส. จึงเห็นสมควรให้สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ หรือ NBT และช่อง 9 อสมท. จัดการถ่ายทอดสดการหารือการจัดเลือกตั้งใหม่ทดแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง กับผู้แทนพรรคการเมือง ในวันที่ 22 เมษายน 2557 คือวันพรุ่งนี้ โดยให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ประสานงานกับสำนักงาน กกต. และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพราะ ศอ.รส. ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า การจัดการเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และโดยเฉพาะจะเป็นส่วนสำคัญที่จะนำความสงบเรียบร้อยมาสู่ชาติบ้านเมืองในขณะนี้
วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557
CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 18/04/2014
18 April 2014
At 13:00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day, gist as follows:
1. Following the CAPO’s 7 points of request made yesterday to the relevant parties, including the Cabinet, core leaders of the political groups and the general public, the CAPO is of the view that these requests could assist in mitigating political situation and bring back peace and order to the country.
2. The CAPO would like to thank all parties concerned in terminating their political rally during the Songkran festival. The center also appreciated security personals who performed their duties during this past holiday season. Nonetheless, the CAPO is deeply concerned with announcement made by the PDRC’s core leaders in an attempt to mobilize the masses and escalate scale of the rally in order to claim the ultimate victory. Such announcement could trigger collision or confrontation by a pro and anti- government groups.
Regarding the incidence of shooting of the PDRC guard to death on 15 April, preliminary investigation revealed that it was caused by internal conflict amongst PDRC guards. For the safety concern, the CAPO wished to urge all general public to consider carefully before participating in the rally.
3. At yesterday’s meeting with Permanent Secretaries of all government agencies yesterday, the CAPO briefed the head of government agencies on the latest situation as well as on security measures. All permanent secretaries attended the meeting agreed to urge their subordinates to work their utmost in providing services to the general public. Permanent secretaries also affirmed that they will avoid any activity that considered supporting the PDRC political agendas.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)