วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO's Statement No.9: Requesting cooperation from the State Enterprises Workers' Relation Confederation (SERC)


May, 19 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the CAPO statement number 9:

It has been already clear that Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) have violated the law continuously in several cases. On 8 May, the Office of the Attorney-General has issued prosecution orders against 51 persons in various severe cases such as instigating the public to violate the law and obstructing the election, and the Criminal Court has already approved arrest warrants against 38 persons which will be proceeded by the officers concerned.

Although, Mr.Suthep and the PDRC leaders have been under many charges, they have not stopped their actions. On 18 May, they have issued joint statement with the State Enterprises Workers' Relation Confederation (SERC) led by Mr.Komsan Thongsiri, who has been also under several charges and under arrest warrants, requesting the SERC members to strike and showing signs of support to the PDRC demands. The SERC is consisted of numbers of organizations which each are important mechanism of the country. Each organization has specific duties especially to establish cooperation among workers and also to protect interests of the state enterprises under the Labour Relations Law and the State Enterprise Labour Relations. These laws have many regulations and one of the most important points is prohibiting strike which could damage performance of state enterprises. 

It is believed that the statement was influenced by Mr.Suthep. The SERC has a freedom to decide whether to follow the PDRC or not. Moreover, there are many employees working in many labour federations who intentionally perform their duties under the hard pressure.

The CAPO expressed its compliments and supports to employees and officials of state enterprises who have worked hard. The CAPO requested labour federations to be reminded the regulations under the law and to not violate them especially by striking. Such action could face legal actions.

The CAPO will invite executives of all state enterprises to meet with executives of the CAPO on 21 May, 14.00 hrs. at the CAPO headquarters to prepare for the possible situation. The CAPO will also issue a letter to the Supreme Commander to discuss and request for personnel to solve the situation in case there are electricity and water supplies cuts in the CAPO's responsible areas.

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ 9 เรื่อง ขอความร่วมมือสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)


บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่าง ๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำถึง 51 คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่น ๆ รวมทั้งหมด 9 ข้อหา โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายชุมพล จุลใส ซึ่งถูกสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันก่อการร้ายเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหาด้วย และศาลได้ออกหมายจับแกนนำ กปปส. ในข้อหาดังกล่าวแล้วจำนวน 38 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการจับกุมแกนนำดังกล่าวอย่างเคร่งครัด

แม้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. จะตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดร้ายแรงดังกล่าวแล้ว แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ก็มิได้ยุติการกระทำความผิด กลับยังคงดำเนินการเพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองขึ้นอีก โดยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ก็ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส. โดยนายคมสัน ทองสิริ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันกบฏและข้อหาอื่น ซึ่งพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องและศาลได้ออกหมายจับไว้ เพื่อร่วมกันปฏิบัติการ โดยสหภาพแรงงานได้ขอให้สมาชิกสหภาพแรงงานทั่วประเทศนัดหยุดงาน พร้อมทั้งติดป้ายสนับสนุนให้มีรัฐบาลใหม่ตามที่ กปปส. เรียกร้อง รวมถึงการแสดงสัญลักษณ์การประท้วงต่าง ๆ

โดยที่สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ประกอบด้วยกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจหลายกลุ่มด้วยกัน ซึ่งกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในการพัฒนา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแต่ละกลุ่มต่างก็มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการและให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและรักษาผลประโยชน์ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ โดยมีกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์และกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เป็นหลักในการดำเนินการ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวก็กำหนดข้อพึงปฏิบัติหลายประการ แต่ที่สำคัญก็คือ ข้อห้ามในการนัดหยุดงาน ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจหยุดชะงักเสียหาย

การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกแถลงการณ์ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ดังกล่าว น่าเชื่อว่าเกิดจากการยุยง ปลุกปั่นของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่กระทำผิดกฎหมาย โดยสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ที่ประกอบไปด้วยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจหลาย ๆ กลุ่ม มีความเป็นอิสระในการใช้วิจารณญาณตัดสินใจที่จะกระทำการหรือไม่กระทำการตามคำยุยงปลุกปั่นของนายสุเทพฯ อีกทั้งปัจจุบันกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจหลายกลุ่มก็ยังคงมีพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มุ่งมั่นทุ่มเทตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกดดันอย่างไม่ย่อท้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประโยชน์สุขของประชาชนเป็นส่วนรวม

ศอ.รส. ขอแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจ และขอขอบคุณพนักงานรัฐวิสาหกิจรวมถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐทุกท่านที่ยังคงตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ และขอความร่วมมือกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ พึงระลึกถึงข้อปฏิบัติของการดำรงตนให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ละเว้นไม่กระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะการหยุดงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนโดยรวมเป็นอย่างมาก รวมถึงไม่กระทำการอันใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดต่อกฎหมาย เพราะมิฉะนั้น นอกจากจะต้องถูกดำเนินคดีความผิดทางอาญาแล้ว ยังจะก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเองและครอบครัว อีกทั้งยังจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติยศวงศ์ตระกูลอีกด้วย

ทั้งนี้ ศอ.รส. จะได้เชิญผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งมาร่วมประชุมกับผู้บริหารของ ศอ.รส. ในวันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ เวลา 14.00 น. ณ ศอ.รส. เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและซักซ้อมความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว โดยเฉพาะ ศอ.รส. จะได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อขอหารือและขอความอนุเคราะห์จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเข้าร่วมแก้ไขสถานการณ์ หากเกิดเหตุร้ายถึงขั้นมีการตัดน้ำ ตัดไฟในพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. ด้วย

ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส. โดยตรง ซึ่งไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
19 พฤษภาคม 2557
เวลา 12.00 น.

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 16/05/2014


May, 16 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day:

1. The CAPO condemned any who fired M79 grenades and M16 rifles at the People's Democratic Reform Committee (PDRC) protesters at the Democracy Monument on 14 May living 3 deaths and many injuries. The CAPO concerned that this could lead to more conflicts. The CAPO encouraged the public to use consideration when receiving the information and to not participate in any demonstrations as more violences could possibly occur. Moreover, following the seize of explosive devices and illegal materials in Lumpini Park, it has been clear that the PDRC demonstrations have been involved with weapons. The CAPO reaffirmed that it urged all the government agencies concerned to arrest the offenders and also planned  to protect and prevent such incident following the 2008 Internal Security Act which is now being enforced by integrating forces with the military, the police, and the civil servants. And If the situation could not be controlled, the government might consider to enforce the 2005 Emergency Decree. 

2. Following the CAPO statement number 8 requesting and warning the House of Senate including other groups to stop searching and appointing illegal Prime Minister, (Prime Minister from the Constitution Section 7), the CAPO believed that such attempt could not solve the situation. Instead, it could worsen the conflicts. The CAPO requested all sides to adhere to the law and also urged all sides to respect the Constitution and the Democratic regime by supporting the election for Members of Parliaments. The CAPO emphasized that any person or group who have involved with Mr.Suthep Thaugsuban in an attempt to search for the Prime Minister from the Constitution Section 7 could face legal actions. Mr.Suthep and the PDRC leaders are under several charges while 38 persons already faced with arrest warrants and 13 persons are being summoned.

สรุปผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗


 
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

เรื่องที่ ๑ ศอ.รส. ขอประนามผู้ที่ก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม ๗๙ และปืนเอ็ม ๑๖ เข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อคืนวันที่ ๑๔ พฤษภาคมที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตขณะนี้ ๓ ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ศอ.รส. มีความกังวลอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ และงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมไม่ว่ากับกลุ่มใดๆ เนื่องจากขณะนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก แม้ว่า ศอ.รส. จะได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นแล้วก็ตาม      


นอกจากนี้ จากการตรวจยึดวัตถุระเบิดและสิ่งผิดกฎหมายจำนวนมากได้จากบริเวณสวนลุมพินีซึ่งเคยเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. จึงเป็นที่ชัดเจนว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. นั้นมีการสะสมอาวุธร้ายแรง และไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ ดังนั้น การเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ร่วมชุมนุมได้

ศอ.รส. ขอเรียนย้ำกับพี่น้องประชาชนว่า ศอ.รส. ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้น แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากการย้ายที่ชุมนุมของ กปปส. จากสวนลุมพินีมายังถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นสถานที่เปิดและยากต่อการควบคุมเหตุร้าย และไม่มีการแจ้งประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงการย้ายที่ชุมนุมมาก่อน โดย ศอ.รส. ก็ได้กำชับการติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุแล้ว และได้วางแผนคุ้มครองป้องกันจากนี้ต่อไปให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอยืนยันว่า พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่บังคับใช้อยู่ในขณะนี้ สามารถบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ได้ทุกมิติ ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายพลเรือน และหากเหตุการณ์ยกระดับความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ก็ยังมีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่จะนำมาบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวยังเป็นไปตามหลักสากลอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปอีกด้วย

เรื่องที่ ๒ ตามที่ ศอ.รส. ได้มีแถลงการณ์ ฉบับที่ ๘ เรื่อง ข้อเรียกร้องและแจ้งเตือนสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงกลุ่มต่างๆ ให้ยุติการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (นายกรัฐมนตรี มาตรา ๗) เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. มีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการกระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย โดยเฉพาะการพยายามแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะไม่สามารถทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่คลี่คลายลงได้ แต่กลับจะเพิ่มความขัดแย้งและความแตกแยกมากขึ้นในหมู่ประชาชนผู้เห็นต่างและยึดถือในบทบัญญัติของกฎหมาย และ ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายสนับสนุนแนวทางตามรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยด้วยการผลักดันให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย อันจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้ได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอเน้นย้ำว่า บุคคลและกลุ่มบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวพันกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกในความพยายามที่คัดเลือกแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาตรา ๗ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจมีความผิดและอาจถูกดำเนินคดีฐานให้การสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วมสมคบคิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวกไปด้วย ซึ่ง ศอ.รส. จะติดตามพฤติการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอเรียนย้ำว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. เป็นผู้ต้องหาในคดีอุจฉกรรจ์หลายข้อหา โดยเฉพาะข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ อีกรวม ๑๐ ข้อหา ซึ่งพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำชุดแรกแล้ว ๕๑ คน และศาลได้อนุมัติหมายจับไว้เดิม ๘ คน และอนุมัติหมายจับใหม่เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้อีก ๓๐ คน รวมเป็น ๓๘ คน ส่วนที่เหลือได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอื่นอยู่แล้ว ซึ่งศาลจะได้ออกหมายสั่งให้นายประกันส่งตัวมาฟ้องในคดีนี้อีก ๑๓ คน

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 15/05/2014


May, 15 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day:

1. Following the relocating of the protest site of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) from Lumpini Park to Ratchadumnoen Road on 12 May, the CAPO has received a report that after being checked by police officers, the Explosive Ordinance Disposal officers, military officers, and the Bangkok officials, vests, explosive devices, and numbers of grenades have been found. All the materials have been transferred to the investigating officers in order to proceed with legal actions. Besides, it has been discovered that those materials belong to the PDRC security guards.

The CAPO wished to inform the public that it could prove that the PDRC demonstrations have been involved with weapons unlike what PDRC leaders have always claimed that the demonstrations is non-violent.

2. Following the news indicating that Mr.Suthep Thaugsuban and the PDRC leaders used the Santimaitri Building, the Government House to broadcast their statement, the CAPO wished to explain that such action was a trespassing of government premise and it was not accepted by police and military officers at the venue. Mr.Suthep and his fellows also broke in by cutting a chain at the main gate, breaking in to the building through windows. The officers already recorded all actions which will be proceeded with legal actions.

This morning, the Acting Prime Minister and his colleagues had a meeting with members of the Election Commission (EC) at the Kantarat Hall near the Royal Air Force Academy and the meeting was interrupted by 1,500 protesters threatening to enter the venue. The meeting then had to be postponed. The CAPO condemned such action as it was an attempt to obstruct the election.

The CAPO wished to inform the public that the Criminal Court has already approved arrest warrants against 38 person and 13 more are being summoned.

สรุปผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

เรื่องที่ ๑ ตามที่กลุ่ม กปปส. ได้ย้ายสถานที่ชุมนุมจากสวนลุมพินีไปยังบริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น วันนี้ ศอ.รส. ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่ได้เข้าตรวจความเรียบร้อยในสวนลุมพินี อันประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ๔ ฝ่าย ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานีตำรวจลุมพินี เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครซึ่งประจำอยู่ที่สวนลุมพินี ซึ่งได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคมภายหลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนย้ายออกไป ผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบเสื้อเกราะ วัตถุระเบิดแรงสูง ระเบิดอีกจำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่สวนลุมพินี โดยวัตถุระเบิดและสิ่งผิดกฎหมายทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้ได้นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว ทั้งนี้ ได้มีการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว สามารถยืนยันได้ว่าเป็นวัตถุระเบิดและสิ่งผิดกฎหมายของกลุ่มการ์ด กปปส. จริง

ศอ.รส. ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. นั้นมีการสะสมอาวุธร้ายแรง จึงไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธตามที่แกนนำ กปปส. ได้กล่าวอ้างมาโดยตลอด ดังนั้น ศอ.รส. จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้งดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชน


เรื่องที่ ๒ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ได้ออกแถลงการณ์โดยมีการถ่ายทอดสดมาจากตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลนั้น ศอ.รส. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. เข้าไปแถลงข่าวในตัวอาคารของทำเนียบรัฐบาลเป็นการบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่ดูแลความปลอดภัยบริเวณทำเนียบรัฐบาลมิได้ยินยอมแต่อย่างใด แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกได้กระทำการบุกรุก โดยมีการตัดโซ่คล้องประตูทำเนียบรัฐบาล งัดหน้าต่างเพื่อเข้าไปในตัวอาคาร และฝ่าแนวของเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการบันทึกภาพการกระทำผิดดังกล่าวเป็นหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีต่อไปแล้ว

อนึ่ง ในช่วงเช้าวันนี้ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ณ หอประชุมกานตรัตน์ ข้างโรงเรียนนายเรืออากาศ ขณะกำลังประชุม ปรากฏนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกได้นำกลุ่มคนประมาณ ๑,๕๐๐ คน บุกรุกเข้าไปข่มขู่ขับไล่ถึงในห้องประชุม จนทำให้การประชุมต้องล้มเลิกไป ศอ.รส. ขอประนามการกระทำของแกนนำ กปปส. โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่นอกจะกระทำผิดต่อกฎหมายโดยการบุกรุกสถานที่ราชการและข่มขู่ขับไล่เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งคณะรัฐมนตรีและ กกต. แล้ว ยังเป็นการทำลายความพยายามของทุกฝ่ายที่จะจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นการขัดขวางแนวทางประชาธิปไตยและขัดขวางการจัดการเลือกตั้ง เพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง

ศอ.รส. จึงขอเรียนชี้แจ้งให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และขอเรียนย้ำว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. เป็นผู้ต้องหาในคดีอุจฉกรรจ์หลายข้อหา โดยเฉพาะข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่และซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ อีกรวม ๑๐ ข้อหา ซึ่งพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำชุดแรกแล้ว ๕๑ คน และศาลได้อนุมัติหมายจับไว้เดิม ๘ คน และอนุมัติหมายจับใหม่เมื่อวานนี้อีก ๓๐ คน รวมเป็น ๓๘ คน ส่วนที่เหลือได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอื่นอยู่แล้ว ซึ่งศาลจะได้ออกหมายสั่งให้นายประกันส่งตัวมาฟ้องในคดีนี้อีก ๑๓ คน

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO Statement No.8 : Warning Senators and political groups to stop searching and appointing unlawful Prime Minister (Prime Minister under Section 7)

May, 14 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the CAPO statement number 8:

The CAPO is a special body established under the 2008 Internal Security Act on Bangkok and the vicinity with a duty to maintain peace and order in all dimensions by integrating forces with the military, the police and the government agencies concerned. It has been already clear that Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) have violated the law continuously in several cases. Recently, the Office of the Attorney-General has issued prosecution orders against 51 person in various severe cases such as instigating the public to violate the law and obstructing the election.

Mr.Suthep and his fellows have demanded many things which the government has also responded by dissolving the parliament, but the PDRC obstructed the election on 2 February so the Constitutional Court ruled that the election was voided. Moreover, although the Constitutional Court ruled that the premiership of the Prime Minister was terminated on the case of Mr.Thawil Pliensri transferring and the National Anti-Corruption Committee (NACC) also pointed out the Prime Minister's faults on the corruption of Rice Pledging Scheme which all were demands of the PDRC, but leaders of the PDRC still lead the protesters to blockade various television broadcasting stations including many government agencies premises. In addition, Mr.Suthep and the PDRC leaders have expressed their demands without any law basis by requesting the left Ministers to resign by referring to the Constitution Section 3 and 7.

However, the Cabinet has appointed Mr. Niwatthamrong Bunsongphaisan, Deputy Prime Minister and Minister of Commerce to perform as "Acting Prime Minister" until the new Cabinet comes to office following the Section 10 that the Cabinet should assign a Deputy Prime Minister to act as the Prime Minister. As a result, demands of Mr.Suthep and the PDRC leaders requesting the House of Senate to search and appoint the Prime Minister under Section 7 is unachievable. Following Section 171, 172, and 173, the Prime Minister must be a Member of Parliament and must be agreed by the House of Representatives. Besides, Mr.Niwatthamrong is still the Acting Prime Minister and other Ministers are still performing their duties, consequently it is unlawful to appoint the new Prime Minister. 

The CAPO requested the House of Senate as well as the supporters of such idea to stop violating the law by appointing the New Prime Minister and presenting for the royal consideration as they are not only unlawful, but also will cause conflicts and violences especially the dissatisfaction of the other political group which could lead to a clash including a possible civil war.

With respect to Senators, the CAPO believed that the Senators will not violate the law and follow the Constitution in all Sections.

The statement is a position of the CAPO without any contribution from the military.

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. ฉบับที่ ๘ เรื่อง ข้อเรียกร้องและแจ้งเตือนสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงกลุ่มต่างๆ ให้ยุติการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (นายกรัฐมนตรี มาตรา ๗)

แถลงการณ์
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. ฉบับที่ ๘
เรื่อง ข้อเรียกร้องและแจ้งเตือนสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงกลุ่มต่างๆ ให้ยุติการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (นายกรัฐมนตรี มาตรา ๗)

----------------------------------------    

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม  

บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฎ ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด ๙ ข้อหา โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายชุมพล จุลใส ซึ่งถูกสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันก่อการร้ายเพิ่มเติมอีกด้วย  พฤติการณ์การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ นานา อาทิเช่น การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่โดยอ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓ และมาตรา ๗ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย และแม้รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ก็ยังคงกระทำการขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลง อีกทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูลกรณีการยื่นถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถือได้ว่าข้อเรียกร้องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ได้รับการตอบสนองแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ ยังคงต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๘๑ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติมอบหมายให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๐ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้ “ในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่เพราะนายกรัฐมนตรีตาย ขาดคุณสมบัติ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง หรือวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนจากตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน”  ดังนั้น ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มแกนนำ ได้นำมวลชนเดินทางไปเรียกร้องที่รัฐสภา เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ รวมทั้งออกแถลงการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ศอ.รส. จึงเห็นว่าข้อเรียกร้องตามแถลงการณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๑ มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ โดยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัจจุบันยังไม่อาจมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่คัดเลือกและให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว  ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีคณะรัฐมนตรีที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” อยู่ การดำเนินการที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจกระทำได้ และโดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อจัดตั้งนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีขึ้นอีกชุดหนึ่งในขณะที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ นอกจากจะเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง  ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภา รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันมีข้อมูลเพียงพอที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. โดยเฉพาะหากยังมีการคัดเลือกและเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่ตามที่ กปปส. เรียกร้อง จะต้องเกิดความไม่พอใจจากมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรงและลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายและเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด  นอกจากนั้น ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้คือ การที่วุฒิสมาชิกบางคนและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่มให้การสนับสนุนกิจกรรมและแนวทางดำเนินการต่างๆ นานา โดยเฉพาะการคัดเลือกแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาตรา ๗ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก ซึ่งได้ถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง และฐานความผิดอื่นๆ นั้น บุคคลและกลุ่มบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวกดังกล่าว อาจมีความผิดและอาจถูกดำเนินคดีฐานให้การสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วมสมคบคิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกไปด้วย ซึ่ง ศอ.รส. จะติดตามพฤติการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

อนึ่ง ด้วยความเคารพต่อสมาชิกวุฒิสภาทุกท่าน ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของประเทศ ศอ.รส. มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้รักษากฎหมาย และเป็นผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมืองที่จะไม่กระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย และจะปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการตามที่ได้ปฏิญาณตนไว้ก่อนเข้ารับหน้าที่ การที่ ศอ.รส. จำเป็นต้องมีแถลงการณ์ฉบับนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และหลีกเลี่ยงเหตุความไม่สงบและเหตุร้ายแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส. โดยตรง ซึ่งไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย    

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน      
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย        
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗            
เวลา ๑๓.๐๐ น.

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 12/05/2014


May, 12 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day:

1. Following the CAPO statement number 7 issued on 11 May requesting the People's Democratic Reform Committee (PDRC)  including other political groups and their supporters to stop their law violations by searching and appointing the Prime Minister with any law basis, the CAPO reaffirmed that in a statement of Mr.Suthep Thaugsuban and the PDRC leaders issued on 10 May attempting to request the President of the Senate, President of the Supreme Court, President of the Administrative Court, President of the Constitutional Court, President of the Election Commission to select the new Prime Minister by using the Section 7 of the Constitution is not achievable as Deputy Prime Minister and Minister of Commerce, Niwatthamrong Bunsongphaisarn has been assigned to act as Prime Minister. As a result, the situation is not a political vacuum as the PDRC has been expected. Following actions of Mr.Suthep and the PDRC leaders, the CAPO has to escalate the law enforcement against the law violations of the PDRC.

2. Following the statement of the ASEAN Ministers on Thailand's political situation indicating that the ASEAN member countries have closely followed developments in Thailand and expressed their supports for a peaceful resolution through dialogue and in full respect of democratic principles and rule of law. The statement also emphasized the importance of democratic process in restoring law and order, promoting national reconciliation and the return of normalcy in Thailand, in accordance with the will and interests of the people of Thailand. The CAPO encouraged all sides to adhere for democratic path especially the election.

3. The CAPO has received a report regarding the continuous violences committed by the PDRC security guards on 9 May. The guards blocked the traffic on the Tollway and assaulted an innocent person that traveling to the Don Muang Airport causing him severe injured. On 10 May, another innocent person was assaulted by the guards in front of the Channel 5 broadcasting station. The traffic blocking by the PDRC security guards also affected foreign tourists who traveled to the Airport by forcing them to walk to the Airport which severely damaged Thailand's image on the tourist and economic aspect. The CAPO condemned such actions of the guards and urged concerned agencies to take legal actions. 

Following the apology to Luang Pu Buddha Issara by a policeman, the CAPO insisted that it was not an apology but an expression of regret. The using of tear gas was followed a security principles. However, officials have already taken legal proceedings against Luang Pu Buddha Issara for the trespassing of government agencies premises and 5 other accusations. The CAPO wished to thank all police officers who have performed their duties with tolerance and also wished to honour those officers.

สรุปผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

เรื่องที่ ๑ ตามที่  ศอ.รส. ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๗ เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อกลุ่ม กปปส. รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุน ให้ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและแจ้งเตือนประชาชนให้แยกตัวออกจากการชุมนุม เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. ขอเรียนย้ำว่า การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มแกนนำ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเรียกร้องไปยังบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๐ ก็ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ในขณะนี้จึงยังไม่เกิดสุญญากาศทางการเมืองตามที่ กปปส. ต้องการมาตั้งแต่ต้น และไม่มีข้อกฎหมายและความจำเป็นใดๆ รองรับให้ต้องมีการดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗  

ศอ.รส. จึงเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ยุติการเรียกร้องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ และสร้างความสับสนให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาตรา ๗ เป็นแนวทางที่เหมาะสมและสามารถกระทำได้ ทั้งๆ ที่ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ และยิ่งจะเป็นการสร้างความแตกแยกมากขึ้นในสังคมระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่มีความเห็นต่างกัน ซึ่งอาจลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายจนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด 

นอกจากนี้ ด้วยพฤติการณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ที่ได้กระทำอุกอาจต่างๆ จนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น จนขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดวิกฤตมากที่สุดแล้ว ศอ.รส. จึงจำเป็นจะต้องยกระดับการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและเข้มข้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ และขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชน

เรื่องที่ ๒ ศอ.รส. ได้รับทราบถึงแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ซึ่งมีเนื้อหาว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด และขอสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในไทยด้วยสันติวิธีผ่านการเจรจา บนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม นอกจากนี้ในแถลงการณ์ดังกล่างยังระบุว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนเน้นย้ำความสำคัญของกระบวนการประชาธิปไตยในการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมความสมานฉันท์ในชาติ และนำความปกติสุขกลับคืนมาสู่ประเทศ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย ในการนี้ ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะการเลือกตั้งซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งของมวลชนกลุ่มต่างๆ ยุติลง และนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศอันเป็นภารกิจหลักของ ศอ.รส. 

เรื่องที่ ๓ ศอ.รส. ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องของการ์ด กปปส. โดยเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มการ์ด กปปส. ที่ทำการปิดกั้นการจราจรบนทางยกระดับโทลล์เวย์ได้รุมทำร้ายประชาชนรายหนึ่งขณะที่กำลังเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง จนได้รับบาดเจ็บ และเมื่อคืนวันที่ ๑๐ พฤษภาคมที่ผ่านมาก็เกิดเหตุในลักษณะเดียวกัน โดยประชาชนอีกรายถูกกลุ่มการ์ด กปปส. รุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณตรงข้ามสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ทั้งนี้ ทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนเป็นการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะบุคคลดังกล่าวต้องการจะสัญจรตามปกติโดยไม่ทราบถึงการปิดกั้นการจราจรของกลุ่ม กปปส.  นอกจากนี้ การปิดการจราจรบนทางยกระดับโทลล์เวย์ ยังทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง ต้องลงเดินเพื่อไปยังสนามบิน ซึ่งเหตุการณ์นี้ย่อมส่งผลเสียหายต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้น ศอ.รส. จึงขอประนามการกระทำดังกล่าวของการ์ด กปปส. และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อนึ่ง ตามที่มีข่าวว่า ศอ.รส. ได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจขอขมาพระพุทธะอิสระหลังจากวันเกิดเหตุบริเวณด้านหน้า ศอ.รส. นั้น ขอยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการขอขมา แต่เป็นการแสดงความเสียใจที่เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และมีการใช้แก๊สน้ำตาในการควบคุมสถานการณ์  โดยการแสดงความเสียใจนั้นก็เป็นวิธีปฏิบัติโดยทั่วไปที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอดเมื่อมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ อันเกิดจากการปฏิบัติการตามหน้าที่ ทั้งนี้ เจ้าพนักงานก็ได้มีการดำเนินคดีกับพระพุทธะอิสระกับพวกในฐานบุกรุกสถานที่ราชการ และข้อหาอื่นๆ อีก รวม ๕ ข้อหา โดยไม่ละเว้นในทันที ซึ่ง ศอ.รส. ขอแสดงความเสียใจ เห็นใจ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งและความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุด  

ศอ.รส. จึงขอเชิดชูเกียรติศักดิ์และความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายเป็นอย่างยิ่ง

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๗

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๗
เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อกลุ่ม กปปส.  รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุน ให้ยุติการกระทำผิด
ต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และแจ้งเตือนประชาชนให้แยกตัวออกจากการชุมนุม
----------------------------------------

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

​บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ร่วมกันเป็นกบฎ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด ๑๐ ข้อหา และโดยที่พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก ในข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม อันเป็นความผิดมูลฐานของความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ศอ.รส. จึงได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ง. เข้าดำเนินการเพื่อดำเนินคดีฐานฟอกเงิน อันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก เพิ่มเติมอีกด้วย

​นอกจากนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังถูกดำเนินคดีสำคัญอีกหลายคดี และล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์มาก เช่น คดีร่วมกันฆ่าประชาชนในการชุมนุมปี ๒๕๕๓ หรือที่เรียกว่าคดี “๙๘ ศพ” คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักของข้าราชการตำรวจ คดีทุจริตก่อสร้างแฟลตของข้าราชการตำรวจ คดีกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี คดีบุกรุกที่ดินเขาแพง และคดีอื่นๆ ดังนั้น การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังไม่ยอมเลิกการชุมนุม และชักนำมวลชนต่างๆ อยู่ในขณะนี้จึงเป็นการใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดำเนินคดี และไม่ถูกจับกุมตามหมายจับของศาล ซึ่งเป็นการบิดเบือนและหาประโยชน์จากมวลชน และสร้างความเดือดร้อนแก่ชาติบ้านเมืองเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยแท้
​พฤติการณ์การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ นานา อาทิเช่น การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่โดยอ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓ และมาตรา ๗ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย และแม้รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ก็ยังคงกระทำการขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลง อีกทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูลกรณีการยื่นถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โครงการรับจำนำข้าว ก็ถือได้ว่าข้อเรียกร้องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ได้รับการตอบสนองแล้ว

​อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ ยังคงต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๘๑ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๐ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้ “ในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่เพราะนายกรัฐมนตรีตาย ขาดคุณสมบัติ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง หรือวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนจากตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน”

​ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มแกนนำ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ได้พยายามเรียกร้องไปยังบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น ประธานวุฒิสภา  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลปกครองสูงสุด  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ  ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง  เพื่อร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ศอ.รส. ขอยืนยันว่าข้อเรียกร้องตามแถลงการณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๑ มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ โดยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัจจุบันยังไม่อาจมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่คัดเลือกและให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว  ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีคณะรัฐมนตรีที่มีนายนิวัฒน์ธำรง     บุญทรงไพศาล “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” อยู่ ดังนั้น การดำเนินการที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจกระทำได้ และโดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อจัดตั้งนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีขึ้นอีกชุดหนึ่งในขณะที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ นอกจากจะเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง
​อนึ่ง ด้วยความเคารพต่อบุคคลสำคัญที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกกล่าวถึง เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ศอ.รส. มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้รักษากฎหมาย และเป็นผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมืองที่จะไม่กระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย ซึ่งในที่นี่ขอแสดงความเคารพและความศรัทธาเชื่อมั่น ดังนั้น การที่ ศอ.รส. จำเป็นต้องมีแถลงการณ์ฉบับนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และหลีกเลี่ยงเหตุความไม่สงบและเหตุร้ายแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
​ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันมีข้อมูลเพียงพอที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. โดยเฉพาะหากยังมีการคัดเลือกและเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่ตามที่ กปปส. เรียกร้อง จะต้องเกิดความไม่พอใจจากมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรงและลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายและเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด

ศอ.รส. ขอแสดงความเสียใจต่อพี่น้องประชาชนที่เคยคาดหวังว่า สถานการณ์โดยรวมจะผ่อนคลาย   ดีขึ้น แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. กลับยกระดับเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการประกาศคัดเลือกแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนอกกฎหมายดังกล่าว และการกระทำอุกอาจต่างๆ เช่น การบุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลแล้วประกาศจัดตั้งเป็นกองบัญชาการ การเข้าปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และการซ่องสุมกำลังพร้อมอาวุธต่างๆ จนขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดวิกฤตมากที่สุดแล้ว ศอ.รส. จึงจำเป็นจะต้องยกระดับการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่ดครัดและเข้มข้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากกลุ่มผู้ชุมนุม และแจ้งเตือน    บุตรหลาน ญาติมิตรให้หลีกเลี่ยงออกห่างจากที่ชุมนุมให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของ พี่น้องประชาชน

ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส. โดยตรง  ซึ่งไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย

​จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
​๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๓.๐๐ น.

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO statement No.6 : Prohibiting assisting leaders of PDRC


May, 10 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the CAPO statement number 6:

The CAPO is a special body established under the 2008 Internal Security Act on Bangkok and the vicinity with a duty to maintain peace and order in all dimensions by integrating forces with the military, the police and the government agencies concerned. It has been already clear that Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) have violated the law continuously in several cases. Recently, the Office of the Attorney-General has issued prosecution orders against 51 person in various severe cases such as instigating the public to violate the law and obstructing the election.

Following the prosecution orders by the Office of the Attorney-General on Mr.Suthep and his fellows which most of the cases are related to the money laundering, the CAPO has instructed the Anti-Money Laundering Office (AMLO) to take legal action and proceed with the seize the assets of Mr.Suthep and other offenders. Moreover, Mr.Suthep has been also involved with several cases such as the killing of 99 person in 2011, corruption in police stations construction, corruption in election in Surat Thani Province, and trespassing land at Khao Paeng. Mr.Suthep has used the mass to protect himself from being arrested. The CAPO condemned actions of Mr.Suthep and his associates.

Following the blockading of television broadcasting stations by the PDRC and intimidating executives and directors of those channels to not broadcast news from the government side but to only broadcast the PDRC demonstrations, the CAPO considered such action as a media threatening. In addition, the trespassing at the Government House by the PDRC is not only a law violation but also damaging the nation.

Following the demonstration of the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) which has already begun, the CAPO wished to encourage the public to use their consideration before participating in the demonstrations either of the PDRC or the UDD as any who violates the law will face legal actions.

The statement was issued under the position of the CAPO without any contribution from the military.

แถลงการณ์ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๖ เรื่อง ห้ามการช่วยเหลือแก่แกนนำ กปปส. ที่กระทำผิด

แถลงการณ์ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๖ 
เรื่อง ห้ามการช่วยเหลือแก่แกนนำ กปปส. ที่กระทำผิด 

----------------------------------------

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญ ในการสนธิกำลัง ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฎ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด ๑๐ ข้อหา  นอกจากนี้ ตามที่พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก ในข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม อันเป็นความผิดมูลฐานของความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ศอ.รส. จึงได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ง. เข้าดำเนินการเพื่อดำเนินคดีฐานฟอกเงิน อันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายสุเทพ    เทือกสุบรรณ กับพวก เพิ่มเติมอีกด้วย 

นอกจากนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังถูกดำเนินคดีสำคัญอีกหลายคดี และล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์มาก เช่น คดีร่วมกันฆ่าประชาชนในการชุมนุมปี ๒๕๕๓ หรือที่เรียกว่าคดี “๙๘ ศพ” คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักของข้าราชการตำรวจ คดีทุจริจก่อสร้างแฟลตของข้าราชการตำรวจ คดีกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี คดีบุกรุกที่ดินเขาแพง และคดีอื่นๆ ดังนั้น การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังไม่ยอมเลิกการชุมนุม และชักนำมวลชนต่างๆ อยู่ในขณะนี้จึงเป็นการใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดำเนินคดี และไม่ถูกจับกุมตามหมายจับของศาล ซึ่งเป็นการบิดเบือนและหาประโยชน์จากมวลชน และสร้างความเดือดร้อนแก่ชาติบ้านเมืองเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยแท้ 

ศอ.รส. ขอประนามการกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่ได้นำมวลชนบุกไปยังสถานที่ต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และทำเนียบรัฐบาล และได้กระทำการเจรจาและขู่บังคับผู้บริหาร หรือผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ช่อง ๕ ช่อง ๗ ช่อง ๙ และช่อง NBT ไม่ให้ถ่ายทอดสัญญาณที่เกี่ยวกับแถลงการณ์หรือเสนอข่าวอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐบาลและ ศอ.รส. แต่ให้ถ่ายทอดสัญญาณการแถลงการณ์หรือเสนอข่าวการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งถือเป็นการคุมคามสื่อมวลชน และสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการบุกรุกเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาลนั้น ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมตระหนักว่า สถานที่ราชการดังกล่าวมีความสำคัญที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารราชการของประเทศชาติ เป็นสมบัติโดยส่วนรวมของทุกคน การบุกรุกเข้าไปทำความเสียหายใดๆ นอกจากเป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองด้วย 

นอกจากนี้ ตามที่ในวันนี้จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม นปช. ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องพี่น้องประชาชนให้ใช้วิจารณญาณหลีกเลี่ยงการร่วมชุมนุม ไม่ว่ากับกลุ่ม นปช. หรือกลุ่ม กปปส. เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง และขอเรียกร้องให้ประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมกระทำความผิดกับ กปปส. เพราะหากมีการกระทำผิดเกิดขึ้น ผู้ที่ร่วมกระทำการจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น โดยเฉพาะแกนนำของผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่ม ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ 

อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้ เป็นความเห็นของฝ่ายบริหาร ศอ.รส. โดยมิได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมแถลง หรือแสดงความเห็นด้วย

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน  
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO Statement No.5 : Prohibiting broadcasting or assisting leaders of the PDRC

May, 9 2014,

At 16.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the CAPO statement number 5:

The CAPO is a special body established under the 2008 Internal Security Act on Bangkok and the vicinity with a duty to maintain peace and order in all dimensions by integrating forces with the military, the police and the government agencies concerned. It has been already clear that Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) have violated the law continuously in several cases. Recently, the Office of the Attorney-General has issued prosecution orders against 51 person in various severe cases such as instigating the public to violate the law and obstructing the election.

Following the threat of leaders of the PDRC on executives and directors of television channel 3,5,7,9, and NBT to not broadcast statements or news of the government but to only broadcast the PDRC demonstrations, the CAPO has instructed executives, directors, and owners of every radio and television broadcasting stations to not respond to demands of the PDRC other wise they will face with legal actions both in crime and civil aspects. 

Following the prosecution orders by the Office of the Attorney-General on Mr.Suthep and his fellows which most of the cases are related to the money laundering, the CAPO has instructed the Anti-Money Laundering Office (AMLO) to take legal action and proceed with the seize the assets of Mr.Suthep and other offenders.

The CAPO was received an information that tonight, there will be a group of people attempting to commit an incident in various protest sites, the CAPO urges to public to not join the demonstrations or to travel close to the sites for the own safety.

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๕ เรื่อง ห้ามการถ่ายทอดสัญญาณหรือให้ความช่วยเหลือแก่แกนนำ กปปส.

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๕
เรื่อง ห้ามการถ่ายทอดสัญญาณหรือให้ความช่วยเหลือแก่แกนนำ กปปส.

----------------------------------------

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลัง ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

​บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวานนี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฎ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด ๑๐ ข้อหา

​และด้วยกรณีปรากฎว่า แกนนำ กปปส. ได้มีการเข้าเจรจาและขู่บังคับผู้บริหาร หรือผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ช่อง ๕ ช่อง ๗ ช่อง ๙ และช่อง NBT ไม่ให้ถ่ายทอดสัญญาณที่เกี่ยวกับแถลงการณ์หรือเสนอข่าวอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐบาลและ ศอ.รส. แต่ให้ถ่ายทอดสัญญาณการแถลงการณ์หรือเสนอข่าวการชุมนุมของ กปปส. ศอ.รส. ได้พิจารณาแล้ว จึงเห็นควรออกคำสั่งห้ามผู้บริหาร ผู้อำนวยการ และเจ้าหน้าที่ของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกสถานีถ่ายทอดสัญญาณหรือให้ความช่วยเหลืออย่างหนึ่งอย่างใดกับแกนนำ กปปส. เว้นแต่การเสนอข่าวสารตามปกติ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดฐานกบฎ หรือก่อการร้ายดังกล่าว ศอ.รส. จึงแถลงการณ์มาเพื่อสั่งการให้ผู้บริหารสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกแห่งงดเว้นหรือยุติการให้การสนับสนุนตามที่ กปปส. เรียกร้องโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องรับผิดทางอาญาและทางแพ่ง

​อนึ่ง เนื่องจากพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก ในข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม อันเป็นความผิดมูลฐานของความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ศอ.รส. จึงได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ง. เข้าดำเนินการเพื่อดำเนินคดีฐานฟอกเงิน อันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก เพิ่มเติมอีกด้วย จึงขอเตือนผู้ที่จะเข้าร่วมกระทำความผิดกับ กปปส. ให้ตระหนักถึงโทษที่จะได้รับ และควรงดเว้นการเข้าร่วมในทุกๆ กรณี

​นอกจากนั้น ศอ.รส. มีข้อมูลว่า ในคืนวันนี้จะมีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้าก่อเหตุร้ายกับกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมตามจุดต่างๆ ที่ได้ดาวกระจายไป จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ใช้วิจารณญาณงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมหรือเข้าไปบริเวณใกล้เคียงการชุมนุม เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน​​
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗
----------------------------------------

CAPO 4th's statement : Condemns PDRC's actions and urges the public to avoid participating in the PDRC's illegal activities


May, 9 2014,

At 13.00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the CAPO statement number 4:

The CAPO is a special body established under the 2008 Internal Security Act on Bangkok and the vicinity with a duty to maintain peace and order in all dimensions by integrating forces with the military, the police and the government agencies concerned. It has been already clear that Mr.Suthep Thaugsuban and leaders of the PDRC have violated the law continuously in several cases. Recently, the Office of the Attorney-General has issued prosecution orders against 51 person in various severe cases such as instigating the public to violate the law and obstructing the election.

Mr.Suthep and his fellows have demanded many things which the government has also responded by dissolving the parliament. However, the PDRC obstructed the election on 2 February so the Constitutional Court ruled that the election was voided. Moreover, although the Constitutional Court ruled that the premiership of the Prime Minister was terminated on the case of Mr.Thawil Pliensri transferring and the National Anti-Corruption Committee (NACC) also pointed out the Prime Minister's faults on the corruption of Rice Pledging Scheme which all were demands of the PDRC, but leaders of the PDRC still lead the protesters to blockade various television broadcasting stations including many government agencies premises. The CAPO wished to condemn actions of Mr.Suthep and leaders of the PDRC and also wished to encourage the public to not join the demonstrations. 

This statement is an opinion of the CAPO without any contribution from the military.

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๔

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๔
เรื่อง ประนามการกระทำผิดของ กปปส. และขอเรียกร้องประชาชนอย่าเข้าร่วมกระทำผิด

----------------------------------------

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลัง ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

​บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวานนี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ ได้แก่ ร่วมกันเป็นกบฎ, ร่วมกันก่อการร้าย, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก, ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงาน งดจ้าง เพื่อบังคับรัฐบาลฯ, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน, ร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง, ร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้เลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง และร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร

​ตลอดเวลาที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ แกนนำ กปปส. ได้มีข้อเรียกร้องต่างๆนานา ซึ่งรัฐบาลก็ได้ผ่อนปรนความประสงค์ และรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ก็ได้กระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้

​ดังนั้น ข้อเรียกร้องของกลุ่ม กปปส. ในเรื่องสำคัญ จึงได้รับการตอบสนอง รวมถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมและมีมติเห็นชอบการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี สิ้นสุดลง และคณะกรรมการ ปปช. ก็ได้ชี้มูลนายกรัฐมนตรีกรณีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของ กปปส. ซึ่งต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง

​อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อเรียกร้องของ กปปส. ได้รับการตอบสนองแล้ว กปปส. ก็มิได้หยุดชุมนุม แต่กลับกระทำการรุนแรงต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะในวันนี้ ได้ระดมมวลชนเข้าบุกยึดสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมถึงสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง

​ศอ.รส. ขอประนามการกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำ กปปส. และขอเรียกร้องให้ประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมกระทำความผิด มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ส่วนแกนนำทุกคนจะต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งจนถึงที่สุด ในการนี้ ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ รวมถึงความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองที่อาจเกิดจากการกระทำของท่านที่ได้เข้าร่วมในการกระทำผิดดังกล่าว
ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้                    เป็นความเห็นของฝ่ายบริหาร ศอ.รส. โดยมิได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมแถลง หรือแสดงความเห็นด้วย​​​​​​​        

จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน​​
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 8/05/2014


At 16:00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day, gist as follows:

1. Following yesterday Constitutional Court ruling on the unlawful removal of Mr. Thawil Pliensri , Security-General of the National Security Council, which resulted in terminating of ministerships of the Prime Minister and other 9 ministers, the CAPO wished to comment as follows. 

- The CAPO wished to inform that the center is a special unit established the Internal Security Act of B.E. 2551, therefore the Constitutional Court ruling did not have any effect on the function of the CAPO.

- Regarding the status of Police Captain Chalerm Ubumrung, Minister of Labour and Director of the CAPO, the CAPO meeting this morning concluded that his CAPO directorship was not affected by the Constitutional Court’s ruling. The Constitutional Court ruled that Pol.Cap. Chalerm’s ministerialship was dismissed under Section 187 (2) of the Constitutional.  At the time the Cabinet reached the decision on transfering of Mr. Tawil, Pol. Cap. Chalerm was the Deputy Prime Minister and later on was removed for the new cabinet appointment. His labour ministership was granted after the Cabinet reached its decision on Mr. Tawil and should not be affected by yesterday Constitutional Court ruling. 

This should be applied to Deputy Prime Minister Surapong, the Chairman of the Advisory of the CAPO, whose foreign ministership should only be dismissed by the Constitutional Court’s ruling. 

2. The CAPO would like to inform that the Center did not have any intentioned in its announcement on 6 May (the third official statement) to interfere or pressure the Constitutional Court in making its ruling. The CAPO wished to inform the public that the center was seriously concerned with the situation and only attempted to restrain and mitigate the political situation. 

The CAPO will not make any further comment on the Constitutional Court’s ruling, however, this ruling could induce further conflict and escalation of the incidence as seen by the firing of M79 grenade at Chulabhorn Hospital and the headquarter of the Siam Commercial Bank as well as the bomb throwing at the residence of Constitutional Court judge last night. 

The CAPO has adapted its security plans and measure for the upcoming major rally by the People's Democratic Reform Committee (PDRC) on 9 May and by the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) on 10 May. The CAPO wished to urge all parties concerned not to support the public gathering and urged the leaders of both sides to bear in mind any possible impacts that could happen from the major rally. 

The CAPO wished to bring an attention on the attack of the foreign journalist who reported the news at the Constitutional Court yesterday. The CAPO was of the view that any peaceful public gathering is the right granted by the Constitution and any unlawful treatment shall be brought to justice. The CAPO will be monitoring the situation closely and will perform the duties by law enforcement against demonstrators in both groups on equal basis.

3. The CAPO wished to inform that today that the attorney general have charged Mr.Suthep and 50 PDRC leaders on 9 offenses, including sedition, incitement to breach the law, cause chaos in the country and event obstruction the election and intrusion of government officers. Mr. Suthep and Mr. Chumpol Julasai were additionally charged of terrorism.

สรุปผลการประชุม ศอ.รส. ประจำวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗


ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

เรื่องที่ ๑ จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี และได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง และยังได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมในการลงมติในคราวนั้น ต้องสิ้นสุดไปด้วยนั้น ในวันนี้ที่ประชุม ศอ.รส. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ศอ.รส. ดังนี้

ในประเด็นแรกเกี่ยวกับสถานภาพของ ศอ.รส. ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้นคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ศอ.รส. แต่อย่างใด 

ในประเด็นที่สองเกี่ยวกับสถานภาพของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ที่ประชุม ศอ.รส. มีความเห็นว่า การดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ศอ.รส. ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไม่ได้สิ้นสุดหรือพ้นไปจากผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงกรณีกระทำการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๒ (๗) แห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมต้องหมายถึงความเป็นรัฐมนตรีในขณะที่ได้ร่วมพิจารณาและมีมติในการประชุมรัฐมนตรีครั้งนั้นๆ แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในภายหลังจนถึงปัจจุบันจึงเป็นการดำรงตำแหน่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและมีมติในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งดังกล่าว จึงไม่น่าเป็นเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ (๗) อีก      

กรณีดังกล่าวย่อมเป็นผลเช่นเดียวกันกับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. ก็ย่อมพ้นไปเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว แต่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งภายหลังอีกตำแหน่งหนึ่ง จึงหาพ้นไปตามผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐมนธรรมนูญแต่อย่างใด   

เรื่องที่ ๒ ตามที่ ศอ.รส. ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๓ เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุน กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. ขอเรียนว่า เหตุผลที่ ศอ.รส. ต้องออกแถลงการณ์ดังกล่าว เนื่องจากขณะนั้นมีข้อมูลอย่างเพียงพอที่ได้บ่งชี้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ    ศอ.รส. โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่นๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ การวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ๒ องค์กร คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ศอ.รส. มีความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้นความขัดแย้งและการจัดแนวร่วมของแต่ละฝ่ายขยายตัวในวงกว้าง มีกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านแต่ละฝ่ายจำนวนมาก และมีการกล่าวหาว่าองค์กรอิสระบางองค์กรเป็นแนวร่วมกับบางกลุ่มด้วย ตลอดจนมีความพยายามจัดการเลือกตั้งให้เนิ่นช้าออกไป เพื่อให้ปัญหาลุกลามและเกิดสุญญากาศตามแนวทางของบางฝ่าย 

ศอ.รส. ขอยืนยันว่าในการออกแถลงการณ์ดังกล่าว ศอ.รส. มิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วงหรือกดดันการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่แถลงการณ์ดังกล่าวมีจุดประสงค์สำคัญในการป้องกัน ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของ ศอ.รส. อันเป็นความจำเป็นที่ไม่อาจจะละเลยได้ ดังนั้น ศอ.รส. จึงได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๓ ซึ่งประกอบด้วยข้อห่วงใยและข้อวิตกกังวลของ ศอ.รส. ดังมีรายละเอียดตามแถลงการณ์ที่ได้เผยแพร่ไปแล้ว 

และเมื่อวานนี้ ศอ.รส. ได้รับทราบผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้พิพากษาให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมและลงมติเห็นชอบการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี สิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ วรรค ๑ (๗) แต่คณะรัฐมนตรีที่เหลือยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง และจะทำให้การบริหารประเทศยังคงดำเนินต่อไปได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ 

อนึ่ง ศอ.รส. ของดเว้นที่จะมีความเห็นต่อเนื้อหาสาระของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ ศอ.รส. ยังยืนยันว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวยังคงนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย เช่น เหตุยิงระเบิดเอ็ม ๗๙ เข้าใส่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รวมทั้งเหตุปาระเบิดเข้าใส่บ้านพักของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อคืนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ศอ.รส. ได้ปรับแผนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมใหญ่ของ กปปส. ซึ่งจะเริ่มในวันที่ ๙ พฤษภาคม และการชุมนุมใหญ่ของ นปช. ซึ่งจะเริ่มในวันที่ ๑๐ พฤษภาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ศอ.รส. ขอเรียกร้องพี่น้องประชาชนให้ใช้วิจารณญาณหลีกเลี่ยงการร่วมชุมนุม ไม่ว่ากับกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่ม นปช. เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง โดยล่าสุด ศอ.รส. ก็ได้รับรายงานถึงการใช้ความรุนแรงของการ์ด กปปส. ที่ได้ทำร้ายนักข่าวต่างประเทศที่ไปทำข่าวที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคมที่ผ่านมา และแม้ว่าการเข้าร่วมการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดในการเข้าร่วมชุมนุมแล้ว ท่านก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ส่วนแกนนำทุกคนจะต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง โดย ศอ.รส. จะบังคับใช้กฎหมายกับผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกันเพื่อป้องกันเหตุร้ายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น 

เรื่องที่ ๓ ศอ.รส. ได้รับรายงานว่า ตามที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒๖๑/๒๕๕๖ อันประกอบด้วยพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ ได้ร่วมกันทำการสอบสวนคดีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ชุดที่ ๑ รวม ๕๒ คน และส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณานั้น ในวันนี้ ศอ.รส. ได้รับแจ้งว่า พนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำชุดที่ ๑ ทั้งสิ้น ๕๑ คน และสั่งไม่ฟ้องเพียง ๑ คน และได้ฟ้องคดีกับแกนนำที่มีตัวอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว ๒ คน คือ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และนายสกลธี ภัททิยกุล ส่วนแกนนำคนอื่นๆ จะได้ดำเนินการออกหมายจับเพื่อนำตัวมาฟ้องโดยเร็วต่อไป 

สำหรับฐานความผิดที่พนักงานอัยการส่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ชุดที่ ๑ ทั้ง ๕๑ คนนั้น มีทั้งสิ้น ๙ ฐานความผิด คือ ๑) ร่วมกันเป็นกบฎ ๒) กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ๓) มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ ๔) มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก ๕) ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงาน งดจ้าง เพื่อบังคับรัฐบาลฯ ๖) ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน ๗) ร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ๘) ร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้เลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง และ ๙) ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร ทั้งนี้ สำหรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายชุมพล จุลใส พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องในฐานความผิดร่วมกันก่อการร้าย เพิ่มเติมอีก ๑ ข้อหาด้วย

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
______________________ 

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CAPO’S ANNOUNCEMENT OF 6/05/2014


May 6, 2014

At 13:00 hrs., the Center for the Administration of Peace and Order (CAPO) informed the press on the outcome of the meeting of the CAPO earlier in the day:

1. The CAPO has prioritized the new election scheduled on 20 July 2014 as it could solve conflicts among political groups. The CAPO has a policy to enforce the law against offenders who obstruct the election. The CAPO has received a report from the Royal Thai Police regarding the legal proceedings against leaders of the People's Democratic Reform Committee (PDRC). So far, there are 191 cases involving election obstructions (51 cases in Bangkok and 140 cases in other provinces) and 180 cases involving the failure of electoral officers to perform their duties (66 cases in Bangkok and 114 cases in other provinces). 203 person already faced arrest warrants. 280 person were already brought to justice.

2. Following the information received by the CAPO regarding a plot to deploy officials of the State Enterprises to sabotage the public facilities in order to support actions of the PDRC, the CAPO has issued a letter to Heads and Executives of every State Enterprises to prepare a plan to prevent such circumstance by 12 May. The CAPO has already prepared a plan and wished to warn that any who participate in such action will have to legally take responsibility without exception.

3. The CAPO expressed its compliments to military and police officials for negotiating with the PDRC to resume functions of the Ministry of Interior without any violence. The CAPO also appreciated leaders of the PDRC for returning the premise and remove the protesters to the Lumpini Park. Moreover, the CAPO appreciated Luang Pu Buddha Issara for his previous statement to return the protest site on the Chaengwattana Road and relocate the protest site to Building B in the Government Complex which could solve traffic problems including to decrease violent incidents.