วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๗

แถลงการณ์ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ ๗
เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อกลุ่ม กปปส.  รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุน ให้ยุติการกระทำผิด
ต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และแจ้งเตือนประชาชนให้แยกตัวออกจากการชุมนุม
----------------------------------------

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม

​บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำถึง ๕๑ คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ร่วมกันเป็นกบฎ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด ๑๐ ข้อหา และโดยที่พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก ในข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม อันเป็นความผิดมูลฐานของความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ศอ.รส. จึงได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ง. เข้าดำเนินการเพื่อดำเนินคดีฐานฟอกเงิน อันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก เพิ่มเติมอีกด้วย

​นอกจากนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังถูกดำเนินคดีสำคัญอีกหลายคดี และล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์มาก เช่น คดีร่วมกันฆ่าประชาชนในการชุมนุมปี ๒๕๕๓ หรือที่เรียกว่าคดี “๙๘ ศพ” คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักของข้าราชการตำรวจ คดีทุจริตก่อสร้างแฟลตของข้าราชการตำรวจ คดีกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี คดีบุกรุกที่ดินเขาแพง และคดีอื่นๆ ดังนั้น การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังไม่ยอมเลิกการชุมนุม และชักนำมวลชนต่างๆ อยู่ในขณะนี้จึงเป็นการใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดำเนินคดี และไม่ถูกจับกุมตามหมายจับของศาล ซึ่งเป็นการบิดเบือนและหาประโยชน์จากมวลชน และสร้างความเดือดร้อนแก่ชาติบ้านเมืองเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยแท้
​พฤติการณ์การกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ นานา อาทิเช่น การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่โดยอ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓ และมาตรา ๗ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย และแม้รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ก็ยังคงกระทำการขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลง อีกทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูลกรณีการยื่นถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โครงการรับจำนำข้าว ก็ถือได้ว่าข้อเรียกร้องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ได้รับการตอบสนองแล้ว

​อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ ยังคงต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๘๑ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๐ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้ “ในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่เพราะนายกรัฐมนตรีตาย ขาดคุณสมบัติ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง หรือวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนจากตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน”

​ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มแกนนำ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ได้พยายามเรียกร้องไปยังบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น ประธานวุฒิสภา  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลปกครองสูงสุด  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ  ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง  เพื่อร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ศอ.รส. ขอยืนยันว่าข้อเรียกร้องตามแถลงการณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๑ มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ โดยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัจจุบันยังไม่อาจมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่คัดเลือกและให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว  ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีคณะรัฐมนตรีที่มีนายนิวัฒน์ธำรง     บุญทรงไพศาล “เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี” อยู่ ดังนั้น การดำเนินการที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจกระทำได้ และโดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อจัดตั้งนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีขึ้นอีกชุดหนึ่งในขณะที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ นอกจากจะเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง
​อนึ่ง ด้วยความเคารพต่อบุคคลสำคัญที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกกล่าวถึง เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ศอ.รส. มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้รักษากฎหมาย และเป็นผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมืองที่จะไม่กระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย ซึ่งในที่นี่ขอแสดงความเคารพและความศรัทธาเชื่อมั่น ดังนั้น การที่ ศอ.รส. จำเป็นต้องมีแถลงการณ์ฉบับนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และหลีกเลี่ยงเหตุความไม่สงบและเหตุร้ายแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
​ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันมีข้อมูลเพียงพอที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. โดยเฉพาะหากยังมีการคัดเลือกและเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่ตามที่ กปปส. เรียกร้อง จะต้องเกิดความไม่พอใจจากมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรงและลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายและเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด

ศอ.รส. ขอแสดงความเสียใจต่อพี่น้องประชาชนที่เคยคาดหวังว่า สถานการณ์โดยรวมจะผ่อนคลาย   ดีขึ้น แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. กลับยกระดับเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการประกาศคัดเลือกแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนอกกฎหมายดังกล่าว และการกระทำอุกอาจต่างๆ เช่น การบุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลแล้วประกาศจัดตั้งเป็นกองบัญชาการ การเข้าปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และการซ่องสุมกำลังพร้อมอาวุธต่างๆ จนขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดวิกฤตมากที่สุดแล้ว ศอ.รส. จึงจำเป็นจะต้องยกระดับการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่ดครัดและเข้มข้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากกลุ่มผู้ชุมนุม และแจ้งเตือน    บุตรหลาน ญาติมิตรให้หลีกเลี่ยงออกห่างจากที่ชุมนุมให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของ พี่น้องประชาชน

ศอ.รส. จึงเห็นสมควรแถลงการณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส. โดยตรง  ซึ่งไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย

​จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน

​ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
​๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๓.๐๐ น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น