วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

CMPO warns 1-5 years imprisonment for obstructing voting

CMPO warned that any obstruction to the election will be sentenced up to 5 years in prison
At 13:00 hrs. Mr.Tharit Pengdit, Director-General, the Department of Special Investigations, briefed the press on the outcome of the meeting of the Center For Maintaining Peace and Order (CMPO) earlier in the day, gist as follows: 

First, following the process of negotiation with Mr.Suthep Thaugsuban, Secretary-General of the People's Democratic Reform Committee (PDRC) to not obstruct the election on 2 February, the CMPO was informed that Mr.Suthep denied any negotiation. An attempt to negotiate with the PDRC will be carried on.

Second, the CMPO encouraged the public to exercise their rights to vote. Security units consisted of police and military personnel will be deployed to secure polling stations. Mobile rapid units will also stand by. For further traffic and security information, please contact 1599 or 1197. The CMPO also warned the protesters not to obstruct the election as it is against the law and punishments would be complied. Police officers will be equiped with camera devices to record any violation. 

Third, from 3 February, the functions of government agencies will be gradually restored to provide public services. Security personnel will be deployed in several venues.

Fourth, people affected by the demonstrations had filed complaints and requests to police stations and the Crime Suppression Division. The CMPO would take immediate action in response. The CMPO also appreciates any form of supports from the private sector to those who were affected.

Fifth, the CMPO through the Royal Thai Police and Department of Special Investigations, had collected more evidence and requested the Criminal Court to issue arrest warrants for 19 protest leaders on 30 January. It is currently under the consideration of the Court.

ศรส. เตือนประชาชนอย่าขัดขวางการเลือกตั้ง มีความผิดฉกรรจ์โทษจำคุก 1-5 ปี

ศรส. ย้ำเชิญชวนประชาชนไปออกเสียงเลือกตั้ง จัดหน่วยพิเศษหมายเลข 1599 , 1197 ให้ข้อมูลจราจร-ความปลอดภัยแก่ประชาชนตลอด 24 ช.ม. เตือนอย่าขัดขวางการเลือกตั้งตามคำชักชวนของ กปปส. เพราะมีความผิดฉกรรจ์ โทษจำคุก 1-5 ปี หากประชาชนพบเห็นการขัดขวางหรือถูกขัดขวางการเลือกตั้งขอให้แจ้งตำรวจ



วันนี้ (31 ม.ค.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศรส. แถลงผลการประชุม ศรส. ประจำวันซึ่งมีมติที่สำคัญ 5 เรื่อง ดังนี้

เรื่องที่ 1 ผลการขอเข้าเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. 
ตามที่ ศรส. ได้มีมติจัดชุดเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เพื่อขอไม่ให้ทำการขัดขวางการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น พล.ต.ท. จักรทิพย์ ชัยจินดา หัวหน้าคณะเจรจาได้แจ้งว่า ได้พยายามติดต่อผ่านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แล้ว ได้รับคำตอบว่า นายสุเทพฯ ไม่ขอเจรจาด้วย พล.ต.ท. จักรทิพย์ฯ จะได้พยายามนัดหมายต่อไปเท่าที่เวลายังมีอยู่

เรื่องที่ 2 ศรส. ขอเชิญชวนประชาชนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง 
ศรส. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง โดยนอกจากจะเป็นการใช้สิทธิแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้เป็นหน้าที่ด้วย การไม่ไปใช้สิทธิจะทำให้ต้องเสียสิทธิบางประการตามกฎหมาย ศรส. จะจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนประจำทุกหน่วยเลือกตั้ง รวมทั้งจะมีชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าแก้ไขสถานการณ์ตามความจำเป็นอีกด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ทาง ศรส. ได้จัดตั้งหน่วยพิเศษเพื่อให้ข้อมูลการจราจรและความปลอดภัยต่าง ๆ แก่ประชาชนที่หมายเลข 1599 และ 1197 ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ทาง ศรส. ได้ประสานการปฏิบัติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองทัพภาค ที่จะดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั่วประเทศด้วยแล้ว การที่ กปปส. ประกาศจะระดมคนออกมาชุมนุมในท้องถนนและปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งและสำนักงานเขตทั่วทั้ง กทม. ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นั้น ศรส. ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนอย่าได้ออกมาชุมนุม เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน ประการสำคัญจะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพี่น้องประชาชนด้วยกัน กรณีการขัดขวางการเลือกตั้งจึงไม่ใช่เรื่องการเมืองกับการเมือง แต่เป็นการขัดขวางสิทธิของประชาชนด้วยกัน

อนึ่ง ศรส. ขอแจ้งเตือนประชาชนว่า การขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ โดยมีโทษจำคุก 1 ปี ถึง 5 ปี ตามมาตรา 152 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ดังตัวอย่างเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้อนุมัติหมายจับดำเนินคดีกับผู้ไปขัดขวางการเลือกตั้งแล้วด้วย ซึ่งจะมีการดำเนินคดีกับทุก ๆ รายที่ไปขัดขวางการเลือกตั้งภายในกำหนดอายุความ จึงขอร้องประชาชนอย่าได้ไปขัดขวางการเลือกตั้งตามคำชักชวนของ กปปส. เป็นอันขาด เพราะท่านจะมีความผิดติดตัวอย่างแน่นอน โดย ศรส.จะจัดเจ้าหน้าที่บันทึกภาพผู้กระทำผิดไว้ทั้งหมด รวมทั้ง ศรส. ขอให้พี่น้องประชาชนที่พบเห็นการขัดขวางการเลือกตั้งหรือถูกขัดขวางการเลือกตั้งถ่ายภาพไว้แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลา หรือที่ หมายเลข 1599

เรื่องที่ 3 ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ พร้อมเปิดให้บริการประชาชน
ขณะนี้ ศรส. กับส่วนราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดการให้บริการมาระยะหนึ่งจนเกิดความเดือดร้อนกับประชาชนอย่างมากนั้น นับแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป จะได้ทยอยเปิดส่วนราชการให้กลับมาให้บริการประชาชนตามปกติได้เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นบางสถานที่ที่อยู่ใจกลางการชุมนุมก็อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการได้จัดเจ้าหน้าที่เป็นชุดรักษาความเรียบร้อยของสถานที่ในลักษณะชุดผสม ทั้งข้าราชการ ตำรวจ และทหาร ดูแลความเรียบร้อย และยังมีชุดเจ้าหน้าที่เคลื่อนที่เร็ว สนับสนุนในแต่ละสถานที่ทำการด้วย

เรื่องที่ 4 การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายและความเดือดร้อนจากการชุมนุมของ กปปส. 
ศรส. ได้รับรายงานว่ามีพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและความเสียหายจากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ได้เข้าไปแจ้งลงบันทึกประจำวันตามสถานีตำรวจต่าง ๆ จำนวนมาก เพื่อจะได้นำบันทึกประจำวันไปใช้เป็นหลักฐานแสดงต่อธนาคาร บริษัท ห้างร้าน และคู่สัญญาต่าง ๆ ซึ่ง ศรส. ขอขอบคุณธนาคาร บริษัท ห้างร้านและกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เป็นอย่างยิ่ง ที่ยินดีให้การช่วยเหลือ ผ่อนผันด้านต่าง ๆ แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส. และ ศรส. ขอแจ้งประชาชนท่านใดที่ยังไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีตำรวจพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

เรื่องที่ 5 การขอศาลออกหมายจับแกนนำ กปปส.
เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศรส.จึงมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการขอหมายจับแกนนำ กปปส. ที่กระทำผิดกฎหมายต่อไป โดยได้ยื่นขออนุญาตศาลอาญาอีกครั้งหนึ่งเมื่อวานนี้คือวันที่ 30 มกราคม 2557 รวม 19 ราย โดยครั้งนี้ได้เสนอพยานหลักฐานต่อศาลอย่างครบถ้วนว่าหลังจากมีการประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว แกนนำ กปปส. ก็ยังคงกระทำผิดโดยการร่วมกันไปปิดล้อม กีดกัน ขับไล่ ไม่ให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง และศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องในวันนี้ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นมา ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ

นอกจากนี้ ศรส. ได้สั่งการให้สถานีตำรวจทุกแห่งทุกท้องที่ เร่งรัดดำเนินคดีกับบุคคลใด ๆ ที่ไปทำการขัดขวางการเลือกตั้งทั้งในวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา และที่อาจจะเกิดการกระทำผิดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ด้วย

พร้อมกันนี้ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการเตรียมแผนรองรับหากศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า คำสั่งคุ้มครองของศาลแพ่งยังมีหลายประเด็น ถ้าคุ้มครองเฉพาะเรื่องการใช้กำลัง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น ศรส. ไม่มีปัญหา เพราะว่า ศรส. ไม่ใช้กำลังอยู่แล้ว แต่ถ้ามีคำสั่งคุ้มครองการบังคับใช้ทั้งหมดเลย ที่ประชุม ศรส. ได้หารือกันแล้วว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศโดยการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนั้นจะคงไว้หรือจะยกเลิก หรือจะยื่นอุทธรณ์ หรือขอให้ศาลทบทวนการพิจารณา ก็ต้องทำโดยคณะรัฐมนตรี ศรส. พร้อมที่จะปฏิบัติ

อย่างไรก็ตามได้มีการเตรียมการไว้ว่า หากในที่สุดทั้งศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย และคณะรัฐมนตรีก็เห็นควรยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะกลับไปใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่จะไม่ใช้เหมือนอย่างที่ผ่านมา โดยจะจัดโครงสร้างและจัดการดำเนินการเหมือน ศรส. ยกเว้นจะไม่ใช้กำลังและไม่ใช้การออกหมายจับหมาย ฉ แต่จะใช้หมายจับ ป.วิอาญา ตามปกติ ส่วนวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นทำได้เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายความมั่นคง หรือกฎหมายฉุกเฉิน

อธิบดีดีเอสไอกล่าวถึงการบูรณาการหรือการสนธิกำลังว่า จะปฏิบัติเหมือนอย่างที่กำลังปฏิบัติอยู่ขณะนี้ โดยจะมีศูนย์อยู่ที่นี่ มีวิธีการปฏิบัติ หน่วยราชการทุกหน่วยมาร่วมกันทำงาน มาสนธิกำลังเหมือนกันทั้งหมด เป็นไปตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งจะต่างจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในสองเรื่อง คือการใช้กำลังไม่ได้ กับขอหมายจับฉุกเฉินไม่ได้ ซึ่งไม่มีผลอย่างใดเพราะไม่ได้ใช้กำลังอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการขอหมายจับก็กลับไปใช้หมายจับ ป.วิอาญาตามปกติ

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ศรส.เตรียมเข้าเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมในพื้นที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดล้อม เพื่อขอความร่วมมือเปิดทางให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการ

ศรส. เตรียมส่งคณะเจรจา ศรส. เข้าเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมในพื้นที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดล้อม เริ่ม 10.00 น. พรุ่งนี้ เพื่อเปิดทางให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการ แจงการปิดล้อมสถานที่ราชการกระทบการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะทำให้ต้องเสียสิทธิตามกฎหมาย ระบุให้กรอบเวลาแกนนำไปพิจารณาภายใน 24 ช.ม. ย้ำเน้นเจรจาโดยละมุนละม่อม ไม่ใช้กำลัง ไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่เป็นการขอความร่วมมือ

วันนี้ (26 ม.ค. 57) เวลา 17.05 น. ณ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วย นายณรงค์ ศศิธร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า โดยที่ผู้ชุมนุมได้มีการปิดล้อมสถานที่ราชการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริการพี่น้องประชาชน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ (27 ม.ค.57) เวลา 10.00 น. ศรส. จะได้จัดคณะเจรจาเข้าไปขอเจรจาเปิดทางให้พี่น้องประชาชนเข้าไปใช้บริการสถานที่ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยคณะผู้เจรจาของ ศรส. จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนไทยทั้งไทยและต่างประเทศ โดยจะมีการพูดคุยกับแกนนำที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นอยู่ ซึ่งมีกรอบเวลาที่ ศรส. จะให้แกนนำกลับไปตกลงใจภายใน 24 ชั่วโมงแล้วกลับมาให้คำตอบซึ่งกันและกัน

นายณรงค์ ศศิธร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวชี้แจงถึงเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน ในส่วนของข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทบกับการปฏิบัติงานของกระทรวงการต่างประเทศ โดยเฉพาะกรมการกงสุล ว่า กรมการกงสุลถือเป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงการต่างประเทศในการให้บริการประชาชน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการผลิตหนังสือเดินทาง ปัจจุบันระบบการผลิตหนังสือเดินทางระบบหลักของกรมการกงสุลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมาก จากเดิมสามารถผลิตหนังสือเดินทางให้กับประชาชนทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และต่างประเทศ วันละ 6,500 เล่ม ปัจจุบันจำเป็นต้องใช้ระบบสำรองที่สามารถผลิตได้เพียงวันละ 2,500 เล่ม นอกจากนี้ เมื่อระบบปฏิบัติการหลักไม่สามารถทำได้ก็จะกระทบกับการให้บริการกับประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดและต่างประเทศ เนื่องจากการเชื่อมโยงข้อมูลจากสำนักงานในต่างจังหวัดและต่างประเทศมาที่กรมการกงสุลไม่สามารถทำได้ ซึ่งปัจจุบันขณะนี้มียอดตกค้างของผู้สมัครขอรับการทำหนังสือเดินทางจำนวนนับหลายหมื่นราย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศก็พยายามแก้ไขปัญหาเท่าที่จะสามารถทำได้ เช่น การขยายเวลาการให้บริการประชาชนที่มากขึ้นในแต่ละวัน รวมถึงการให้การบริการในช่วงวันหยุดด้วย แต่ก็สามารถทำได้จำนวนจำกัดเท่านั้น

ด้าน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมมีหน่วยบริการที่อยู่ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชาชนเท่านั้น โดยจะเห็นว่า กปปส. ไม่ได้ปิดหน่วยงานของศาล แต่มีหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมที่ทำงานเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับศาลที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และทำให้ประชาชนต้องหมดสิทธิ์ในเรื่องต่าง ๆ มากมายตามกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องอายุความ เช่น หน่วยบริการประชาชนส่วนหน้าของกรมบังคับคดี ไม่สามารถตรวจรับคำร้องชำระหนี้ได้ และในคดีล้มละลายก็ไม่สามารถดำเนินการตามนัดได้ และไม่สามารถจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้กับลูกหนี้ในคดีล้มละลายได้ ส่วนสำนวนคดีความที่ต้องเกี่ยวกับการดำเนินการของศาล ก็ไม่สามารถที่จะนำออกไปดำเนินการได้ และคู่ความไม่สามารถยื่นคำร้อง ยื่นคำรับชำระหนี้ต่าง ๆ ได้ รวมทั้งการกำหนดขายทอดตลาดในส่วนที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถดำเนินการได้ และอีกส่วนหนึ่งคือกรณีที่ลูกหนี้มีความจำเป็นต้องเดินทางนอกราชอาณาจักร ก็ไม่สามารถยื่นคำร้องได้

นายธวัชชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ในส่วนของกรณีคดีแพ่ง ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลในเรื่องการยึดอายัด ชำระราคาค่าทรัพย์ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ด้านในส่วนของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในเรื่องของกองทุนยุติธรรม ที่ชาวบ้านจะมาขอเงินในเรื่องของการประกันตัว ค่าทนายความ เรื่องการพิสูจน์สิทธิ เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งมีเงื่อนเวลาตามกฎหมาย ก็ไม่สามารถมาใช้บริการได้ รวมทั้งในส่วนของการช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องตามกฎหมายภายในระยะเวลา 1 ปี ก็ไม่สามารถยื่นได้ทำตามกำหนดเวลาได้ จึงทำให้เสียสิทธิ ขณะที่ในส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ก็มีปัญหาในเรื่องของวัตถุพยานและการออกรายงานที่ไม่สามารถออกรายงานพิสูจน์ต่าง ๆ แก่หน่วยงานราชการและศาลที่เกี่ยวข้องได้ โดยทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่กระทรวงยุติธรรมจำเป็นต้องขอกลับเข้าไปปฏิบัติราชการเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชน

ด้าน ร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้ประชาชนรับทราบตารางกำหนดการเจรจาขอคืนสถานที่ราชการของชุดเจรจา ศรส. ตลอดสัปดาห์หน้า ดังนี้ วันจันทร์ 27 ม.ค.57 เวลา 10.00 น. ชุดเจรจาจะไปขอคืนสถานที่ราชการบริเวณพื้นที่ถนนแจ้งวัฒนะ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานต่าง ๆ ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ จากนั้น เวลา 14.00 น. จะไปขอคืนสถานที่ราชการของส่วนราชการที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เช่น ส่วนราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น วันอังคาร 28 ม.ค. 57 เวลา 10.00 น. จะไปขอคืนสถานที่ราชการในพื้นที่ซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน เช่น ส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น วันพุธ 29 ม.ค.57 เวลา 10.00 น. จะไปขอคืนสถานที่ราชการของหน่วยราชการที่ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับโรงพยาบาลรามาธิบดี เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น วันศุกร์ 31 ม.ค.57 เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปขอคืนสถานที่ราชการที่ตั้งอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน และพื้นที่สะพานพระราม 8

“จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดสบายใจว่าชีวิตของท่านจะกลับคืนสู่ความปกติ เนื่องจาก ศรส. มีแผนการณ์ที่ชัดเจนในการที่จะคืนความสุขให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ โดยที่นโยบายในการขอคืนส่วนราชการต่าง ๆ จะเน้นการเจรจาโดยละมุนละม่อม ไม่ใช้กำลัง ไม่ใช่เรื่องของการสลายการชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการขอความร่วมมือ” ร้อยโทหญิง สุณิสา กล่าว

คำแถลงของ ศรส. เรื่อง การสำรวจข้อมูลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย จากการปิดกรุงเทพมหานคร (Shutdown Bangkok) เนื่องจากการชุมนุมของ กปปส. ในเขตพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง


ตามที่ได้เกิดการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่ม กปปส. อย่างต่อเนื่องตลอดมาถึงขั้นปิดกรุงเทพมหานคร  มีการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายหลายเรื่องหลายกรณี  ยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายและก่อความไม่สงบในบ้านเมือง  มีการปิดการจราจรในถนนสำคัญ บุกรุกและยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ไล่ข้าราชการ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากสถานที่ราชการ  ตัดน้ำตัดไฟ  ซึ่งก่อให้เกิดความวุ่นวายและนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ  จนในที่สุดรัฐบาลได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ  ดังที่ทราบกันทั่วไปแล้วนั้น

จากการชุมนุมดังกล่าว  นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินและระบบเศรษฐกิจของประเทศแล้ว  ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนและเสียหายแก่พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตประจำวันที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ  การติดต่อธุรกิจการค้าการขาย  การทำธุรกรรมการเงิน  การเดินทางสัญจรไปมา  และการขัดขวางการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า เป็นต้น  ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายดังกล่าว  ศรส. จึงได้กำหนดแนวทางในการสำรวจข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเยียวยา รวมทั้งเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. ด้วย โดยจะทำการสำรวจความต้องการของประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากการปิดกรุงเทพมหานครอันเนื่องมาจากการชุมนุมของ กปปส. ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อเสนอรัฐบาลภายหลังจากการชุมนุมยุติ ดังนี้

ศรส. จัดให้มีการเปิดรับการแสดงความจำนงจากพี่น้องประชาชนตั้งแต่เวลา ๘.๐๐ น. ของวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ จนถึงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (รวม ๗ วัน) โดยให้ทุกท่านไปแสดงความจำนงขอรับการช่วยเหลือได้ที่กองบังคับการปราบปราม พหลโยธิน รวมถึงสถานีตำรวจทุกแห่ง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอำนวยความสะดวกและรับการแสดงความจำนงตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

ในการแสดงความจำนง  ให้พี่น้องประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานว่าแต่ละท่านได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอย่างไร เช่น ส่งกะรถไม่ทัน  ชำระเงินกู้ดอกเบี้ย  เบี้ยประกันภัย  งวดรถ  หรือดำเนินการอื่นใดทางการเงิน หรือทางธนาคาร หรือทางการค้าไม่ทันตามกำหนด ตลอดจนการดำเนินการต่าง ๆ ที่ขัดข้อง ล่าช้า ติดขัด จนเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างพร้อมกัน รวมทั้งการขัดขวางการเดินทางของผู้เจ็บป่วย การศึกษา โดยเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้งที่ถูกขัดขวาง เป็นต้น ซึ่งเป็นความเดือดร้อนและเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปิดกรุงเทพมหานครอันเนื่องมาจากการชุมนุมของ กปปส.  ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนและเสียหายทุกท่านนำบัตรประจำตัวประชาชน และแจ้งภูมิลำเนาที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งโดยไม่จำเป็นต้องมีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดนนทบุรี หรือจังหวัดปทุมธานี หรือจังหวัดสมุทรปราการ  ทั้งนี้ จะต้องเป็นบุคคลที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป  และหลังจากรับแจ้งแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ออกบันทึกประจำวัน หรือ ปจว. ให้พี่น้องประชาชนแต่ละคนเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อไปใช้ดำเนินการต่อไป

หลังจากได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของพี่น้องประชาชนตามที่กำหนดดังกล่าว รวม ๗ วันแล้ว ศรส. จะดำเนินการขอความร่วมมือให้ธนาคาร  บริษัท  ห้างร้าน  โรงแรม  หรือกิจการค้าทุกประเภท ช่วยเหลือประชาชนซึ่งได้รับความเดือดร้อนและเสียหายที่มีนิติสัมพันธ์กับธนาคาร บริษัท ห้างร้าน โรงแรม หรือกิจการค้าต่าง ๆ  เช่น การผ่อนผันหรือขยายเวลาการรับชำระหนี้  การผ่อนผันค่าปรับกรณีชำระหนี้ล่าช้า หรือการลดหย่อนค่าเสียหายหรือการดำเนินการใด ๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือทุเลาความเสียหาย เป็นต้น โดยภาคธุรกิจใดให้ความร่วมมือ  ศรส. จะเสนอรัฐบาลภายหลังจากการชุมนุมยุติพิจารณาให้การช่วยเหลือด้านภาระภาษี  หรือเงินกู้จากธนาคารของรัฐ  เป็นต้น

นอกจากนี้ ศรส. จะเสนอรัฐบาลภายหลังจากการชุมนุมยุติพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยถูกจากสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารของรัฐ เป็นต้น

อนึ่ง ข้อมูลการสำรวจผู้เสียหายนี้จะใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. ด้วย

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
_____________________

ศรส.
วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๗

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

การแถลงข่าวโดย ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต (25 มกราคม 2557)

ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ในการประชุม ศรส. วันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ข้อกล่าวหาของ แกนนำ กปปส. ที่ปราศรัยบนเวทีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งใจจะหนีม็อบนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะที่จริงแล้ว เมื่อวานนี้ ท่านนายกฯ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เพื่อดูความพร้อมในเรื่องพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนและการจัดหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC เพียงแต่เป็นการเดินทางไปโดยไม่มีสื่อมวลชนติดตามเท่านั้น"

"นอกจากนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ แกนนำกปปส. ใส่ร้ายว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาเงินจำนำข้าวของชาวนา โดยการกู้เงินจากกองทุนประกันสังคม ในความกำกับดูแลของตน เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจาก เงินกองทุนประกันสังคม มีการบริหารจัดการในลักษณะไตรภาคี ภายใต้การดูแลของ 3 ฝ่าย คือ นายจ้าง- ลูกจ้่าง - กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีหลักเกณฑ์และกรอบกติกาที่ชัดเจนในการใช้เงินดังกล่าว และมี ก.ม. เฉพาะคอยกำกับและควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนอยู่ โดยที่ ร.ต.อ. เฉลิม แม้จะเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง หรือ บงการการดำเนินงานของกองทุนได้ตามอำเภอใจ"

ในขณะที่ นาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในฐานะ ประธานที่ปรึกษา ศรส. ได้กำชับให้ นาย วิบูลย์ สงวนพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปชี้แจงผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ที่มีกลุ่มพี่น้องชาวนาเตรียมเดินทางมาชุมนุมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้ชาวนาทราบว่า พื้นที่ใดบ้างที่เป็นเขตหวงห้ามตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้พี่น้องชาวนาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องกระทำผิด ก.ม. หรือ พ.ร.ก ฉุกเฉิน โดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ได้แสดงความ ชื่นชมการทำหน้าที่ของ รองผู้ว่าราชการ จ.พิจิตร ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องสถานที่ราชการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนได้ และผลโพลหลายสำนักในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า การกระทำของ กปปส. เรื่องปิดสถานที่ราชการนั้น มีคนที่ไม่เห็นด้วย จำนวนมาก และนี่เป็นเหตุผลที่ รัฐบาลออก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลต้องการเพิ่มอำนาจเพื่อทำร้ายหรือปราบปรามประชาชน เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้สถานที่ราชการเปิดทำการและให้บริการพี่น้องประชาชนได้

ในขณะที่ นาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ในฐานะ กรรมการ ศรส. กล่าวต่อที่ประชุมว่า จากการประเมินการเสนอข่าวของสื่อมวลชน พบว่าสังคมให้การตอบรับเป็นอย่างดีต่อมาตรการของ ศรส. ที่เตรียมจะไปเจรจากับกลุ่ม กปปส. เพื่อขอคืนสถานที่ราชการ  ซึ่ง ร.ต.อ. เฉลิม เห็นด้วย และกำชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังขั้นตอนการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ประสานงานอย่างใกล้ชิดในเรื่องข้อกฎหมายกับ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ รูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยจะเริ่มการประชุมเพื่อจัดตารางการเจรจาในวันพรุ่งนี้ และจะเชิญผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกับทีมเจรจา ทั้งนี้ ทีมเจรจา โดยหลักแล้วจะประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของพื้นที่  ทหาร ตำรวจ คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ หรือ กกตร. ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่มาทำงานร่วมกับตำรวจประจำสถานีตำรวจแต่ละท้องที่ ผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์ และสื่อมวลชน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินการ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการหารือว่าจะเริ่มขอคืนสถานที่ราชการที่ไหนเป็นลำดับแรก ๆเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะรีบแจ้งให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนทราบทันที

ส่วนประเด็น ที่ นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ โจมตี ร.ต.อ. เฉลิม ว่า มีความต้องการจะเอาชีวิต นาย สุเทพ นั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ยืนยันว่าไม่ได้มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับ นาย สุเทพ หากต้องดำเนินการใด ๆ ต่อ นาย สุเทพ ก็เป็นไปตามหน้าที่และเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองเท่านั้น และการดำเนินคดีต่าง ๆ จะเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง และจะไม่ใช้กำลัง รวมทั้ง จะไม่ใช้ความรุนแรง ตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนกรณีที่ แกนนำ กปปส. โจมตีว่า รัฐบาลส่งคนไปทำร้าย ผู้ชุมนุม คปท. ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป้ายชื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตนั้น ศรส. ขอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตัวบุตรชายผู้เสียชีวิตก็ได้ออกมายืนยันแล้ว ว่าผู้ตายไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ คปท. และบุตรชายผู้เสียชีวิต ก็เป็นผู้ยืนยันว่า สาเหตุการเสียชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดังนั้น ขอให้ หยุดนำความตายของคนอื่น มาหาประโยชน์ทางการเมือง ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่า รัฐบาลใส่ร้าย นาย สุเทพ และ กลุ่ม กปปส. บนเวทีโลก ทำให้ต่างประเทศมองว่า กปปส. เป็นกลุ่มต่อต้านระบอบประชาธิปไตย นั้น ขอยันยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศต่าง ๆ มีผู้แทนอยู่ในประเทศไทย และรายงานสถานการณ์ไปยังประเทศของตนอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีสื่อมวลชนต่างประเทศ คอยรายงานข้อเท็จจริง อย่างเป็นอิสระ รัฐบาลจึงไม่สามารถใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ นาย สุเทพ หรือ กปปส. ได้อยู่แล้ว เนื่องจาก รัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงการทำงานหรือกำหนดทิศทางการรายงานข่าวของสื่อมวลชนได้ โดยเฉพาะสื่อต่างประเทศ ดังนั้น การที่สื่อมวลชนต่างประเทศ หรือประชาคมโลก มองว่ากลุ่ม กปปส. เป็นขบวนการต่อต้านระบอบประชาธิปไตย ก็เกิดจากประเมินและความเข้าใจของสื่อต่างประเทศเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

ส่วนกรณี กลุ่ม กปปส. จ.ตรัง บุกปิดล้อมโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งอยู่ในบริเวณมัสยิดถ์ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จนทำให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมเกิดความไม่พอใจ เนื่องจาก กลุ่ม กปปส. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ดื่มสุราและเต้นรำอย่างไม่เหมาะสม ในบริเวณใกล้เคียงมัสยิดถ์ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องชาวไทยมุสลิม รวมทั้ง ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก นั้น ปรากฎว่า สถานการณ์ยังมีแนวโน้มไปในทางที่แย่ลง เนื่องจาก นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องท่ีผู้นำศาสนาในพื้นที่ซึ่งเรียกร้องให้ นาย สุเทพ ออกแถลงการณ์ขอโทษพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านทางจุฬาราชมนตรี ทั้งยัง แสดงความไม่จริงใจและไม่ได้แสดงการสำนึกผิดอย่างแท้จริง เพราะแกนนำ กปปส. บางส่วน ยังไม่ยอมรับความจริง และอ้างว่า ผู้ก่อเหตุดังกล่าว เป็น กปปส. ตัวปลอม ทั้งยัง กล่าวทำนองว่า แถลงการณ์ของสำนักจุฬาราชมนตรี ที่ตำหนิการคุกคามมัสยิดถ์ ว่าเป็นเอกสารปลอม ศรส. จึงขอเรียกร้องให้ นาย สุเทพ เร่งพูดคุยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ และรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้ง ต้องห้ามปรามมวลชนของตนเองอย่างจริงจังไม่ให้ไปละเมิดสิทธิของผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไร เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ หรือ ปัญหาระหว่างประเทศ เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องอย่าลืมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจับตามองโดยผู้นับถือศาสนาอิสลามในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ศรส. ขอเตือนสติพี่น้องประชาชนให้ใช้สติและวิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ และกรุณาอย่ากระทำการใด ๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือ ประกาศ ของ ศรส. และขอความร่วมมือให้คืนสถานที่ราชการ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วไป สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถให้บริการต่าง ๆ ที่จำเป็นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ในขณะนี้ อาจมีมือที่สาม ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย จึงขอให้ทุกท่านระมัดระวังและแจ้งเบาะแสของบุคคลต้องสงสัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

แถลงการณ์ ศรส. โดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประธานที่ปรึกษาศรส. (วันที่ 25 มกราคม 2557 - 15.30น.)


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ปฏิบัติราชการรองนายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศรส. เเถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ดังนี้ 

"ตามที่รัฐบาลได้กำหนดเเละประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บัดนี้พล.ต.อ.อดุลย์ เเสงสิงเเก้ว ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบศรส.ได้ออกประกาศศรส.ไป 2 ฉบับเเล้วนั้น ขอเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประกาศศรส.สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ พ.ร.ก.ฉบับนี้บังคับใช้เฉพาะผู้ชุมนุมประท้วงหรือฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้กทม.กลับคืนสภาวะปกติโดยเร็ว"

"รัฐบาลพยายามเจรจาขอสถานที่ราชการซึ่งกปปส.เเละคปท.ปิดสถานที่เพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติเพื่อบริการประชาชน รัฐบาลจะไม่ใช้วิธีรุนเเรงหรือสลายการชุมนุมอย่างที่เคยทำในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลจึงให้ศรส.เจรจากับผู้ชุมนุมก่อนเเละปฏิบัติเเนวทางสากลกับผู้ชุมนุมอย่างรัดกุมรอบคอบไม่ให้มีการบาดเจ็บเสียชีวิต"

"ศรส.จะดำเนินการกับบุคคล นิติบุคคล เอกชน องค์กรใดๆ โดยจะเรียกหรือเชิญมาชี้เเจงก่อนเพื่อขอร้องให้ยุติการกระทำที่เป็นภัยกับสังคม สร้างความเเตกเเยก ยุยง เป็นภัยกับความมั่นคงส่งผลให้การประท้วงทวีความรุนเเรงขึ้น หากจำเป็นต้องเรียกเจ้าของโรงเเรม หอพัก บ้านเช่า ผู้อำนวยความสะดวกให้ที่พักกับผู้ที่มีหมายจับเข้าชี้เเจงก่อนที่ศรส.จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนการขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 26 ม.ค.หรือวันที่ 2 ก.พ.โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประกาศในพ.ร.ก.ฉบับนี้ผู้ใดขัดขวางนอกจากมีความผิดตามพ.ร.บ.เลือกตั้ง จำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาทหรือทั้งจำเเละปรับ รวมทั้งโดนเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีเเล้วนั้นยังจะมีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท"

"ส่วนความพยายามของหลายฝ่ายที่กล่าวหารัฐบาลว่า ไม่มีอำนาจประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการนั้น ขอยืนยันตามกฎหมายเเละรัฐธรรมนูญว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในครั้งนี้รัฐบาลไม่ได้ทำโดยอำเภอใจเพื่อประโยชน์ของใครหรือกลุ่มใด เเต่ทำไปเพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเเละสังคมสงบสุข รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของปวงชน การบังคับใช้กฎหมายดำเนินการโดยชอบ โดยพิจารณากันจากคณะบุคคลที่กฎหมายกำหนดตามความจำเป็นภายใต้สถานการณ์เพื่อปกป้องภัยพิบัติสาธารณะ การใช้ทรัพยากรหรือบุคลากรของรัฐนั้นไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายที่มีผลกับการเลือกตั้งที่มีผลกับคะเเนนเสียงเเต่เป็นความรับผิดชอบของครม.ที่ต้องระงับยับยั้งภัยเพื่อช่วยสังคมเเละประเทศ ยืนยันไม่ได้ปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 181"

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

แถลงการณ์ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (วันที่ 22 มกราคม 2557)


กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 (วานนี้) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศไทย โดยมีข้อความดังนี้ 
“สหรัฐอเมริกาขอประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้ทางการไทยสืบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวและนำตัวผู้รับผิดชอบเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สหรัฐอเมริกาเรียกร้องทุกฝ่ายให้ละเว้นจากการก่อความรุนแรง ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น และยึดมั่นในหลักนิติธรรม สหรัฐอเมริกาสนับสนุนสถาบันและกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยซึ่งเป็นเพื่อนและพันธมิตรของสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลายาวนาน สหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยึดมั่นในการหารืออย่างจริงใจเพื่อจะแก้ปัญหาความ แตกต่าง ทางการเมืองอย่างสันติและเป็นประชาธิปไตย”
ซึ่งพี่น้องประชาชนจะเห็นได้ว่า การที่รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดบริ หารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและจัดตั้ง ศูนย์รักษาความสงบหรือ ศรส. ขึ้น โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีกำหนดระยะเวลาของการประกาศใช้ 60 วัน เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง และเป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมจากการกระทำขอ งกลุ่มคนที่ต้องการก่อกวนสร้างสถานการณ์ก่อเหตุร้ายต่างๆ นาๆ กับพี่น้องประชาชน และเพื่อดำเนินกรตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด ในการประท้วงที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ อย่างไรก็ดีรัฐบาลก็พร้อมที่จะเจรจากับกลุ่มผู้ ชุมนุมระท้วงเพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศไทย เพื่อให้เกิดความสงบสุขภายใต้วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย 

ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

กองทัพเรือ ชี้แจงกรณี กำลังพลกองทัพเรือถูกจับที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง


เมื่อวันที่ 21 ม.ค. พล.ร.ต.กาญจน์ ดีอุบล เลขานุการกองทัพเรือชี้แจงกรณี กำลังพลกองทัพเรือถูกจับที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ระบุว่า กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ได้จับกุมทหารเรือพร้อมอาวุธ เมื่อวันที่ 15 ม.ค.นั้น พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้กองเรือยุทธการ ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดย พล.ร.อ.พิจารณ์ ธีรเนตร ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้แต่งตั้ง พล.ร.ต.วิเลิศ สมาบัติ รองเสนาธฺการกองเรือยุทธการ เป็นประธานกรรมการสอบสวน กำลังพลทั้ง 3 นาย และผู้เกี่ยวข้องโดยผลการสอบสวนสรุปได้ดังนี้

1.กำลังพลทั้ง 3 นาย เป็นกำลังพลในชุดตรวจค้น และจับกุมในการสนับสนุนชุดปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดกองทัพเรือ (ศพส.ทร.) และมีการลงคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตามระเบียบที่เกี่ยวข้องจริง โดยคำสั่งดังกล่าวมีจำนวนเจ้าหน้าที่รวม 10 นาย ซึ่งในขณะที่โดนจับกุมนั้นทั้ง 3 นาย กำลังปฏิบัติหน้าที่ติดตามข่าวยาเสพติดอย่างต่อเนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ
2.เมื่อเกิดเหตุ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการดังกล่าวกลับเข้าที่ตั้งปกติ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด และป้องกันการกล่าวอ้างที่จะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในการชุมนุม รวมทั้งเพื่อความสะดวกในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3.กรณีบัตร คปท.นั้น ทั้ง 3 นาย ใช้เป็นบัตรผ่านทาง เพื่อให้สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องผ่านเข้าไปยังพื้นที่การชุมนุม
4.กรณียานพาหนะ และอาวุธนั้น เป้นของทางราชการ มีการเบิกจ่ายอย่างถูกต้อง ตามระเบียบทุกประการ เพื่อใช้ในการเดินทาง และการป้องกันตนเองในขณะปฏิบัติหน้าที่


ขณะที่กรณีมีการก่อเหตุโยนระเบิดใส่ผู้ชุมนุม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 19 ม.ค.นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยืนยันแล้วว่า ผู้ก่อเหตุไม่ใช่กำลังพลของกองทัพเรือตามที่มีการเผยแพร่กันในโซเชียลมีเดีย โดยได้มีการออกหมายจับแล้วและจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธแจ้งความดำเนินคดี 'พุทธะอิสระ' กระทำความผิดร้ายแรง


21 มกราคม 2557 - ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธ พร้อมด้วยนายเสถียร วิพรมมา เลขาธิการองค์กรชาวพุทธ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พระสุวิทย์ ธีรธมโม หรือ พุทธะอิสระ หลังจากฝ่าฝืนคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณร เกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538 ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ และความผิดอาญา หมวด 2 มาตรา 113 ฐานร่วมกันเป็นกบฎ รวมทั้งกล่าวจาบจ้วง ดูหมิ่นเหยียดหยามพระมหาเถระ หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดปากน้ำภาษีเจริญ และกระทำความผิดร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของพระพรหมมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะเจ้าคณะภาค 14-15 (ฝ่ายธรรมยุต) พระสังฆาธิการปกครองเขต

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากพุทธอิสระ ได้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.และยังเป็นแกนนำ ในการนำมวลชนบุกเข้าไปปิดสถานที่ราชการ ย่านถนนแจ้งวัฒนะ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยมีการกระทำผิดชัดเจน นอกจากนี้ในวันที่ 22 มกราคมนี้ เวลา 14.00 น.กลุ่มพุทธบริษัท จะเดินทางเข้าพบเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เพื่อให้สอบสวนทางทางวินัยหลวงปู่พุทธอิสระ ด้วย

ประณาม กปปส.ใช้กำลังข่มขู่ข้าราชการ


21 มกราคม 2557 เวลา11.30น.นายชัยเกษม นิติศิริ รมว.ยุติธรรม เเถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ว่า "การชุมนุมของกปปส.อย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดความวุ่นวายเเละไม่สงบเรียบร้อยในบ้านมือง เเกนนำกปปส.ตกเป็นผู้ต้องหาคดีกบฏ คดีนี้เป็นคดีพิเศษเเละได้มีการเเจ้งข้อกล่าวหา58เเกนนำกปปส. มาตรา113-114-116-215 เเห่งประมวลกฎหมายอาญา การชุมนุมดังกล่าวยกระดับที่เพิ่มความรุนเเรงเป็นลำดับจนกระทั่งปิดกทม.ตั้งเวทีต่อต้านรัฐบาลบนถนนหลายสาย เเละบุกรุกสถานที่ราชการจนประชาชนเเละข้าราชการเข้าไปไม่ได้ ใครไม่เห็นด้วยผู้ชุมนุมจะถูกคุกคามข่มขู่ การกระทำดังกล่าวนั้นถือว่าผิดกฎหมายเเละไม่ให้เกียรติ ดูหมิ่น คุกคาม  ข้าราชการเเละหน่วยงานของรัฐขณะปฏิบัติหน้าที่ เเม้กปปส.จะกระทำการดังกล่าว เเต่ข้าราชการเเละหน่วยงานของรัฐยังทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเองภายใต้สถานการณ์กดดันอย่างไม่ย่อท้อ รัฐบาลขอชื่มชมเเละให้กำลังใจ ขอบคุณข้าราชการทุกคนที่มุ่งมั่นทุ่มเทปฏิบัติภารกิจเต็มที่เพื่อประโยชน์บ้านเมืองเเละประชาชนเเม้ต้องอดทนต่อการคุกคามเเละไม่สามารถทำงานในสถานที่ปกติได้   รัฐบาลพยายามเต็มที่ให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยปฏิบัติราชการเพื่อบริการประชาชนได้ตามปกติ ขอให้มั่นใจว่าประชาชนติดต่อราชการได้ตามปกติ หากมีขัดข้องติดต่อหมายเลขโทรศัพท์1111"

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า "วันที่ 20 มกราคมเเกนนำกปปส.จำนวนหนึ่งนำมวลชนไปปิดล้อมอาคารซอฟท์เเวร์ปาร์ค ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของดีเอสไอ โดยผู้ชุมนุมบุกไปตามชั้นต่างๆข่มขู่ไล่ต้อนข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ออกจากสถานที่ โดยนำโซ่เเละกุญเเจคล้องห้องทำงาน ร้ายเเรงกว่านั้นเเกนนำเเละการ์ดกปปส.ล้อมกรอบพ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์  ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ดีเอสไอ โดยขู่เข็ญด่าว่า ทำให้พ.ต.อ.นิรันดร์ยกมือไหว้ขอร้องอย่าใช้ความรุนเเรงเเละทำร้าย  การกระทำดังกล่าวนอกจากผิดกฎหมายเเละยังนับเป็นเเบบอย่างเลวร้ายที่ไม่ควรเป็นเเบบอย่างในสังคม  ตนขอประณามการกระทำของเเกนนำเเละควรยุติการกระทำอันเลวร้าย เเม้เจ้าหน้าที่จะใช้อาวุธต่อสู้ป้องกันตัวได้โดยชอบด้วยกฎหมายเเต่ได้หลีกเลี่ยงตามนโยบายรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นเครื่องมือของเเกนนำ อาคารนั้นเป็นสมบัติของประชาชนเเละการปฏิบัติงานของข้าราชการคือบริการประชาชน การกระทำของเเกนนำทำให้ทรัพย์สินข้าราชการเสียหาย มันคือการทำร้ายประเทศเเละประชาชนโดยตรง เเม้สถานการณ์ยุ่งยาก ตนยืนยันว่าข้าราชการของกรมนี้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเเละละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ในยามบ้านเมืองวุ่นวาย ขอร้องประชาชนอย่าร่วมชุมนุมเเละสนับสนุนการชุมนุมเเละอาจกลายเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย  ทั้งนี้เพื่อยุติความเสียหายของประเทศ"

ศอ.รส. แถลง ผบ.ตร. สั่งเพิ่มจุดตรวจ และการตรวจร่วมตำรวจ-ทหาร ยืนยันเหตุระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เจ้าหน้าที่เร่งทำงานเต็มที่


วันที่ 20 มกราคม 2557 พลตำรวจตรีอนุชา รมยะนันทน์ รองโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เพิ่มจุดตรวจ รวมทั้งการตรวจร่วมทหารกับตำรวจด้วย โดยเน้นการควบคุมอาวุธ หลังเกิดความรุนแรงในการชุมนุมขึ้นหลายครั้ง นอกจากนี้ยังได้ประชุมเจ้าหน้าที่สืบสวนเพื่อเร่งรัดคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างใด มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น

สำหรับผลการปฏิบัติงานของตำรวจ บริเวณด่านตรวจรอบพื้นที่ชุมนุม เมื่อคืนที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 23 ราย โดยยึดอาวุธปืนได้ 4 กระบอก พร้อมผู้ต้องหา 4 คน, อาวุธมีด 11 เล่ม ส่วนคดียาเสพติดสามารถยึดยาบ้า 359 เม็ด ยาไอซ์ 332 กรัม และใบกระท่อม 45 ใบ ขณะที่เมื่อคืน เวลาประมาณ 22.00 น. ที่ด่านตรวจความมั่นคงบริเวณสะพานพุทธยอดฟ้าฯ พบรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีแดงเข้ม ซึ่งผู้ขับขี่ท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบ พบระเบิดพลาสติกจำนวน 2 ลูก และอาวุธต่างๆ เช่น มีด, เคียว และกระบอกเหล็ก อีก 17 รายการ จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ดำเนินคดี

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ที่บริเวณด่านตรวจสะพานพุทธ หลังพบท่าทีพิรุธของรถยนต์กระบะคันหนึ่ง จึงเรียกตรวจค้นพบของกลางเป็นไม้คมแฝก หน้าไม้ ระเบิดพลาสติกปลอม อาวุธมีด และเคียว ก่อนนำตัวไปสอบสวน ขณะที่เหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวานนี้ ทาง ศอ.รส. ได้เร่งรัดเพื่อจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

ทั้งนี้ สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันนี้ กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. มีการเคลื่อนตัวไปปิดธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สนามบินน้ำ เป็นต้น ขณะที่ในต่างจังหวัดได้มีการตั้งเวทีคู่ขนานร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. 18 จังหวัด ในภาคต่างๆ รวมถึงมีมวลชนที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งอีก 11 จังหวัด

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

CAPO sets Bt500,000 bounty for Victory Monument bomber arrest (Update)


At 14.30 hrs., DPM Surapong updated on investigation regarding the explosion occurred yesterday’s afternoon at the Victory Monument, where 29 people were injured. Evidence from video surveillance specified face of the bomber. DPM Surapong urged anyone provides further evidence or information of the suspect could receive 500,000 baht award from the Royal Thai Police. 

DPM Surapong also reiterated Prime Minister Yingluck’s concern on security and safety of the people, which she urged for more strict security measures and earliest arrest of the bombers at both Banthat Thong rd. and Victory Monument sites.


CAPO will call for security meeting tomorrow, to review and to further enhance security measures and look forward to work cooperatively with the PDRC on this matter.


ศอ.รส.แถลงข่าวสถานการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มกราคม 57


รายงานผลการประชุม ศอ.รส. โดยมีการรายงานผลตลอด 24 ชั่วโมง มีการปิดสะพานพระราม8 ปิดกระทรวงพลังงาน และมีการเคลื่อนตัว ของกลุ่มผู้ชุมนม โดยวันนี้นายสุเทพฯจะไป ธ.ออมสินสำนักงานใหญ่ นายอมรฯจะไปสภาพัฒน์ฯ นายพุฒิพงษ์ฯ จะไปสนามบินน้ำ และกระทรวงการคลัง เวทีคู่ขนาน 18 จังหวัดภาคเหนือ 4 จังหวัด อีสาน 4 จังหวัด ใต้ 10 จังหวัด ในส่วนของเวทีมวลชนที่สนับสนุนการเลือกตั้ง มีที่ภาคเหนือ 4 จังหวัด อีสาน 2 จังหวัด กลางและกรุงเทพ 2 จังหวัด

ผลการตั้งด่าน : มีการจับกุม 23 ราย ปืน 4 กระบอก จับผู้ต้องหา ได้ 4 ราย แล้วยึดพืชกระท่อม 45ใบ มีด 11 เล่ม ยาบ้า359เม็ด ไอซ์332กรัม และมีการตรวจค้นรถมิสซูบิชิสีแดง พบสิ่งเทียมอาวุธหลายรายการและได้นำส่ง สน.บุปผาราม 

เหตุปาระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ จากการแถลงข่าวในตอนเย็นของพล.ต.อ.วรพงษ์ฯ โดย ศอ.รส ได้มีการประสานแกนนำในการรักษาความปลอดภัย เพิ่มขึ้น ผอ.ศอ.รส.มีการปรับแผนในการตั้งจุดตรวจ โดยให้มีการตั้งจุดตรวจในตอนกลางวันเพิ่มอีกด้วย 

ในส่วนที่กปปส.จะไปปิดสถานที่ต่างๆผอ.ศอ.รส.ให้จนท.ตำรวจเน้นการเจรจาก่อน แต่ถ้าหากพบมีการฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นการทำลายทรัพย์สินให้ดำเนินการทันที 

ในเรื่องการจราจรวันนี้มีการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น โดยมีการตั้งจุดบริการด้านการจราจรเพิ่มมากขึ้นในช่วงเช้าและเย็น นอกจากนี้ในจุดบริการประชาชนตั้งแต่วันที่ 13-19 ม.ค.2557 มีการแนะนำเส้นทางจากตำรวจจราจรจำนวน 3543 ครั้ง การช่วยบริการรถเสีย 12ครั้ง อุบัติเหตุทางรถยนต์ 17 ครั้ง รายงานผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการจราจร199 ครั้ง

รองโฆษก ศอ.รส.แถลงข่าวสถานการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มกราคม 57
การแถลงข่าว ศอ.รส. วันที่ 20 มกราคม 2557 เวลา 11.30 น. 
ผู้แถลง : 
พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันทน์ 
พ.ต.อ.หญิงวิชญ์ชยากร ณิชาบวร 
พ.ต.ท.กฤษณะ พัฒนเจริญ 

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ภาพชายต้องสงสัยที่ขว้างระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ภาพชายต้องสงสัยที่ขว้างระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

จากกรณีมีเหตุระเบิดจำนวน 2 ครั้งเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้(19 ม.ค.57) ที่บริเวณเต็นท์หลังเวทีของกลุ่ม กปปส. และที่บริเวณถนนราชวิถีใกล้สะพานลอยคนข้าม เป็นเหตุใก้มีผู้ได้รับเจ็บจำนวน 28 ราย นั้น

ตร.ฝ่ายสืบสวนได้ทำการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆรวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิด เบื้องต้นพบชายต้องสงสัยจำนวน 1 ราย เป็นชาย สวมหมวกปิดบังใบหน้า ตามภาพข้างล่างนี้

ประชาชนท่านใดมีข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงชายต้องสงสัยตามภาพได้ กรุณาแจ้งมายัง
Facebook : policespokesmen
E-Mail : Policespokesmen@police.go.th
ข้อมูลของท่านจะเป็นความลับ โปรดช่วยกันนะครับเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง







ความคืบหน้าคดีระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ความคืบหน้าคดีระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ




พลตำรวจเอกวรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถยืนยันว่า ระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นชนิดเดียวกับบริเวณถนนบรรทัดทองหรือไม่ ต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ยอมรับว่า ในที่เกิดเหตุตำรวจได้พยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทั้งกระเดื่องและสลักระเบิด รวมทั้งพยานบุคคลและภาพจากกล้องวงจรปิด โดย พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ฝ่ายสืบสวน ลงพื้นที่ตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม ควบคู่กับการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยเชื่อมั่นว่า จะสามารถตามจับกุมคนร้ายได้ เพราะมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ขณะนี้ ยังไม่สามารถระบุกลุ่ม และวัตถุประสงค์ในการก่อเหตุครั้งนี้ แต่จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีประมาณ 6 คน และแฝงตัวมาในกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อก่อเหตุแล้ว ได้หลบหนีไปยังบริเวณแยกตึกชัย และขว้างระเบิดอีก 1 ลูก เพื่อป้องกันไม่ให้การ์ดผู้ชุมนุมมติดตามมา ก่อนจะหลบหนีเข้าซอยวัดมะกอก ข้างโรงพยาบาลราชวิถี ขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไป


ส่วนเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น จะเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้หรือไม่ ต้องรอฝ่ายสืบสวนก่อน เพราะกลุ่มเดียวกัน ก็สามารถใช้ระเบิดหลายชนิดได้

                                              

ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเป็นห่วงและพยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้น โดยที่ผ่านมา มีการประสานกับหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน และนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ในการกำหนดมาตรการเฝ้าระวังมาตรการป้องกันเหตุร่วมกัน ซึ่งเบื้องต้น ได้ข้อสรุปว่า พื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่วงเวลา 01.00-05.00 น. ตำรวจจะตั้งจุดตรวจค้นโดยรอบพื้นที่ ส่วนในเวลาอื่นนั้น ทางการ์ดผู้ชุมมนุม จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเอง








ศอ.รส. เร่งกำชับตำรวจสอบสวนสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุระเบิดถนนบรรทัดทอง



ศอ.รส. เร่งกำชับตำรวจสอบสวนสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุระเบิดถนนบรรทัดทอง ชี้ถือเป็นการกระทำรุนแรงโหดเหี้ยม วอนผู้ร่วมชุมนุมระมัดระวัง จับตามองบุคคลแปลกปลอม เผยจากการตรวจสอบปรากฏหลักฐานชัดเจนเป็นการกระทำของกลุ่มที่เดินทางร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ยืนยันเป็นการสร้างเหตุการณ์ให้เกิดความรุนแรง มีเป้าหมายประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นการมุ่งร้ายต่อแกนนำ พร้อมแสดงความเสียใจต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์-ประณามผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์


วันนี้ (19 ม.ค.57) เวลา 13.35 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์จัดทำแผนและประสานงานของ ศอ.รส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ดังนี้

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีเหตุการณ์ระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมประท้วงเสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น ศอ.รส. ได้เร่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวนสืบสวนหาข้อเท็จจริง และหาตัวคนร้ายที่ปาระเบิดมาลงโทษโดยเร็ว ซึ่งจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายหลังจากที่ กปปส. ได้ให้ความร่วมมือและอนุญาตให้ทางตำรวจได้เข้าในพื้นที่ได้ เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ปรากฏข้อเท็จจริงและข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ปาระเบิดในครั้งนี้หลายประการ ศอ.รส. จึงขอวิงวอนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมประท้วงได้โปรดระมัดระวัง และควรเฝ้าจับตามองบุคคลแปลกปลอมที่ไม่ประสงค์ดีและพยายามสร้างสถานการณ์ หรือก่อเหตุร้ายในระหว่างการชุมนุมเอาไว้ด้วย และหากพบเห็นความผิดปกติก็ขอได้โปรดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบด้วยในภายหลัง

พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวชี้แจงรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ปาระเบิดในครั้งนี้ว่า จากสถานการณ์การระเบิดที่ถนนบรรทัดทองเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2557 ที่ผ่านมานั้น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงและโหดเหี้ยม หลังจากการเกิดเหตุได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่แต่ละฝ่ายได้รับ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ โดยได้ดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และเป็นไปตามหลักกฎหมาย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้หาข้อเท็จจริงด้วยการเก็บพยานหลักฐานต่าง ๆ ในที่เกิดเหตุ การสอบสวนพยานบุคคล การตรวจสอบวัตถุพยานต่าง ๆ รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่บันทึกไว้จากกล้อง CCTV ในบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

1. จุดที่ตรวจพบปืนอัดลมหรือบีบีกัน อยู่ห่างจุดที่เกิดระเบิดเป็นระยะไกลจากที่เกิดเหตุ ดังนั้น จุดที่ตรวจพบปืนของเล่นดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นจุดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ
2. การสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ หลังจากเกิดเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปถึงพื้นที่ดังกล่าวได้ทันที เนื่องจากถูกกลุ่มการ์ดของ กปปส. กันตัวออกจากพื้นที่ โดยอนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้
3. จากการสำรวจบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าโอกาสที่ระเบิดจะถูกโยนจากอาคารโดยรอบ มายังจุดระเบิดเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ พบว่าหากโยนจากหลังอาคารดังกล่าวจริง โอกาสที่จะระเบิดโดนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ มีศูนย์ เพราะวิถีของระเบิดที่มาจากที่สูงจะมีต้นไม้และสายไฟเป็นอุปสรรคขัดขวาง
4. จากการตรวจสอบภาพวิดีโอและกล้อง CCTV และจากภาพวิดีโอที่บันทึกไว้จากสื่อมวลชนขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริง และไม่สามารถแต่งเติมได้ เพราะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ปรากฏหลักฐานชัดเจนดังนี้
4.1) บริเวณที่เกิดเหตุระเบิดเป็นพื้นที่ว่าง ดังนั้นการเกิดระเบิด หากมีวัตถุสิ่งใดตกลงมาที่พื้น ย่อมต้องสามารถมองเห็นได้ แต่จากการตรวจสอบภาพวิดีโออย่างละเอียดพบว่าไม่มีวัตถุตกลงมาที่พื้นเลย ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าไม่มีผู้ใดโยนระเบิดลงมาจากที่สูง
4.2) จากการตรวจสอบภาพวิดีโออย่างละเอียด ตรวจพบชายต้องสงสัยสวมหมวกสีขาวเดินเร็วมาจากท้ายขบวน และมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยหลังจากวางระเบิดแล้วตนเองได้หลบเข้าที่กำบัง ซึ่งเป็นตู้เหล็กชุมสายโทรศัพท์ จากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น
4.3) หลังจากเหตุระเบิด ชายคนขับรถปิคอัพได้วิ่งออกจากรถเข้าไปหาชายสวมหมวกขาวที่หลังตู้เหล็กชุมสายโทรศัพท์
4.4) หลังเกิดเหตุระเบิดจากภาพวิดีโอที่ปรากฏ พบว่า มีชายต้องสงสัยทั้งสองคนได้เดินเข้าไปเก็บวัตถุบางอย่างบนพื้นใกล้ ๆ กับจุดที่ระเบิด โดยไม่สนใจคนเก็บที่นอนอยู่รอบ ๆ แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติการครั้งนี้มีการทำงานเป็นทีม

“ฉะนั้น จากที่ได้รายงานมาทั้งหมดจึงแสดงให้เห็นว่า การก่อเหตุครั้งนี้เป็นการกระทำของกลุ่มที่เดินทางร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานเพื่อนำตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุดต่อไป” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าว

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานมาทั้งหมด รัฐบาลขอยืนยันว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ถนนบรรทัดทองเป็นการสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความรุนแรงโดยมีเป้าหมายคือ ทำให้พี่น้องประชาชนคนบริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่เป็นการมุ่งร้ายต่อแกนนำอย่างที่มีความพยายามสร้างเรื่อง และบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งพื้นที่เหตุการณ์และห้วงเวลาขณะที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากแกนนำกลุ่ม กปปส. ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้เห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์และตรวจเก็บข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ได้ ก็แสดงให้เห็นได้ว่ามีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่ร่วมในการชุมนุม พยายามสร้างสถานการณ์เพื่อกล่าวหาใส่ร้ายต่อรัฐบาล รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอประณามการกระทำของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้

คนร้ายขว้างระเบิดใส่หลังเวทีอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

วันนี้(19 มกราคม 2557)เวลา 13.40 น. คนร้ายขว้างระเบิดใส่หลังเวทีอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เมื่อการ์ดเห็นพบชายต้องสงสัยจึงวิ่งตามเพื่อที่จะทำการจับกุมบริเวณแผงขายเสื้อด้านหัวถนนราชวิถี คนร้ายจึงขว้างระเบิดลูกที่ 2 เพื่อหลบหนีจุดดังกล่าวเป็นแผงเสื้อผ้า มีผู้บาดเจ็บจำนวน 7 ราย สาหัส 4 คนร้ายสามารถอาศัยเหตุชลมุนหลบหนีไปได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสถานที่เกิดเหตุ