วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

การแถลงข่าวโดย ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต (25 มกราคม 2557)

ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ในการประชุม ศรส. วันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ข้อกล่าวหาของ แกนนำ กปปส. ที่ปราศรัยบนเวทีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งใจจะหนีม็อบนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะที่จริงแล้ว เมื่อวานนี้ ท่านนายกฯ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เพื่อดูความพร้อมในเรื่องพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนและการจัดหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC เพียงแต่เป็นการเดินทางไปโดยไม่มีสื่อมวลชนติดตามเท่านั้น"

"นอกจากนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ แกนนำกปปส. ใส่ร้ายว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาเงินจำนำข้าวของชาวนา โดยการกู้เงินจากกองทุนประกันสังคม ในความกำกับดูแลของตน เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจาก เงินกองทุนประกันสังคม มีการบริหารจัดการในลักษณะไตรภาคี ภายใต้การดูแลของ 3 ฝ่าย คือ นายจ้าง- ลูกจ้่าง - กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีหลักเกณฑ์และกรอบกติกาที่ชัดเจนในการใช้เงินดังกล่าว และมี ก.ม. เฉพาะคอยกำกับและควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนอยู่ โดยที่ ร.ต.อ. เฉลิม แม้จะเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง หรือ บงการการดำเนินงานของกองทุนได้ตามอำเภอใจ"

ในขณะที่ นาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในฐานะ ประธานที่ปรึกษา ศรส. ได้กำชับให้ นาย วิบูลย์ สงวนพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปชี้แจงผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ที่มีกลุ่มพี่น้องชาวนาเตรียมเดินทางมาชุมนุมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้ชาวนาทราบว่า พื้นที่ใดบ้างที่เป็นเขตหวงห้ามตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้พี่น้องชาวนาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องกระทำผิด ก.ม. หรือ พ.ร.ก ฉุกเฉิน โดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ได้แสดงความ ชื่นชมการทำหน้าที่ของ รองผู้ว่าราชการ จ.พิจิตร ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องสถานที่ราชการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนได้ และผลโพลหลายสำนักในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า การกระทำของ กปปส. เรื่องปิดสถานที่ราชการนั้น มีคนที่ไม่เห็นด้วย จำนวนมาก และนี่เป็นเหตุผลที่ รัฐบาลออก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลต้องการเพิ่มอำนาจเพื่อทำร้ายหรือปราบปรามประชาชน เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้สถานที่ราชการเปิดทำการและให้บริการพี่น้องประชาชนได้

ในขณะที่ นาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ในฐานะ กรรมการ ศรส. กล่าวต่อที่ประชุมว่า จากการประเมินการเสนอข่าวของสื่อมวลชน พบว่าสังคมให้การตอบรับเป็นอย่างดีต่อมาตรการของ ศรส. ที่เตรียมจะไปเจรจากับกลุ่ม กปปส. เพื่อขอคืนสถานที่ราชการ  ซึ่ง ร.ต.อ. เฉลิม เห็นด้วย และกำชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังขั้นตอนการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ประสานงานอย่างใกล้ชิดในเรื่องข้อกฎหมายกับ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ รูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยจะเริ่มการประชุมเพื่อจัดตารางการเจรจาในวันพรุ่งนี้ และจะเชิญผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกับทีมเจรจา ทั้งนี้ ทีมเจรจา โดยหลักแล้วจะประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของพื้นที่  ทหาร ตำรวจ คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ หรือ กกตร. ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่มาทำงานร่วมกับตำรวจประจำสถานีตำรวจแต่ละท้องที่ ผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์ และสื่อมวลชน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินการ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการหารือว่าจะเริ่มขอคืนสถานที่ราชการที่ไหนเป็นลำดับแรก ๆเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะรีบแจ้งให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนทราบทันที

ส่วนประเด็น ที่ นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ โจมตี ร.ต.อ. เฉลิม ว่า มีความต้องการจะเอาชีวิต นาย สุเทพ นั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ยืนยันว่าไม่ได้มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับ นาย สุเทพ หากต้องดำเนินการใด ๆ ต่อ นาย สุเทพ ก็เป็นไปตามหน้าที่และเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองเท่านั้น และการดำเนินคดีต่าง ๆ จะเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง และจะไม่ใช้กำลัง รวมทั้ง จะไม่ใช้ความรุนแรง ตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนกรณีที่ แกนนำ กปปส. โจมตีว่า รัฐบาลส่งคนไปทำร้าย ผู้ชุมนุม คปท. ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป้ายชื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตนั้น ศรส. ขอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตัวบุตรชายผู้เสียชีวิตก็ได้ออกมายืนยันแล้ว ว่าผู้ตายไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ คปท. และบุตรชายผู้เสียชีวิต ก็เป็นผู้ยืนยันว่า สาเหตุการเสียชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดังนั้น ขอให้ หยุดนำความตายของคนอื่น มาหาประโยชน์ทางการเมือง ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่า รัฐบาลใส่ร้าย นาย สุเทพ และ กลุ่ม กปปส. บนเวทีโลก ทำให้ต่างประเทศมองว่า กปปส. เป็นกลุ่มต่อต้านระบอบประชาธิปไตย นั้น ขอยันยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศต่าง ๆ มีผู้แทนอยู่ในประเทศไทย และรายงานสถานการณ์ไปยังประเทศของตนอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีสื่อมวลชนต่างประเทศ คอยรายงานข้อเท็จจริง อย่างเป็นอิสระ รัฐบาลจึงไม่สามารถใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ นาย สุเทพ หรือ กปปส. ได้อยู่แล้ว เนื่องจาก รัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงการทำงานหรือกำหนดทิศทางการรายงานข่าวของสื่อมวลชนได้ โดยเฉพาะสื่อต่างประเทศ ดังนั้น การที่สื่อมวลชนต่างประเทศ หรือประชาคมโลก มองว่ากลุ่ม กปปส. เป็นขบวนการต่อต้านระบอบประชาธิปไตย ก็เกิดจากประเมินและความเข้าใจของสื่อต่างประเทศเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

ส่วนกรณี กลุ่ม กปปส. จ.ตรัง บุกปิดล้อมโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งอยู่ในบริเวณมัสยิดถ์ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จนทำให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมเกิดความไม่พอใจ เนื่องจาก กลุ่ม กปปส. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ดื่มสุราและเต้นรำอย่างไม่เหมาะสม ในบริเวณใกล้เคียงมัสยิดถ์ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องชาวไทยมุสลิม รวมทั้ง ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก นั้น ปรากฎว่า สถานการณ์ยังมีแนวโน้มไปในทางที่แย่ลง เนื่องจาก นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องท่ีผู้นำศาสนาในพื้นที่ซึ่งเรียกร้องให้ นาย สุเทพ ออกแถลงการณ์ขอโทษพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านทางจุฬาราชมนตรี ทั้งยัง แสดงความไม่จริงใจและไม่ได้แสดงการสำนึกผิดอย่างแท้จริง เพราะแกนนำ กปปส. บางส่วน ยังไม่ยอมรับความจริง และอ้างว่า ผู้ก่อเหตุดังกล่าว เป็น กปปส. ตัวปลอม ทั้งยัง กล่าวทำนองว่า แถลงการณ์ของสำนักจุฬาราชมนตรี ที่ตำหนิการคุกคามมัสยิดถ์ ว่าเป็นเอกสารปลอม ศรส. จึงขอเรียกร้องให้ นาย สุเทพ เร่งพูดคุยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ และรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้ง ต้องห้ามปรามมวลชนของตนเองอย่างจริงจังไม่ให้ไปละเมิดสิทธิของผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไร เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ หรือ ปัญหาระหว่างประเทศ เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องอย่าลืมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจับตามองโดยผู้นับถือศาสนาอิสลามในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ศรส. ขอเตือนสติพี่น้องประชาชนให้ใช้สติและวิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ และกรุณาอย่ากระทำการใด ๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือ ประกาศ ของ ศรส. และขอความร่วมมือให้คืนสถานที่ราชการ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วไป สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถให้บริการต่าง ๆ ที่จำเป็นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ในขณะนี้ อาจมีมือที่สาม ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย จึงขอให้ทุกท่านระมัดระวังและแจ้งเบาะแสของบุคคลต้องสงสัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น