วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557
สรุปผลการประชุม ศอ.รส. เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
เรื่องที่ ๑ จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานหลายเดือน และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งล้วนเป็นผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ โดยหน่วยงานของรัฐและสถาบันทางการเงินต่างๆ ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ในปี ๒๕๕๗ เหลือเพียงไม่ถึงร้อยละ ๓ จากเดิมที่มีการประมาณการไว้ถึงร้อยละ ๕.๕ และหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อไปอีกก็จะส่งกระทบต่อภาคการเงิน เศรษฐกิจในระดับมหภาค และการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยคาดการณ์ว่าหากปัญหายังไม่คลี่คลายภายใน ๖ เดือนจะส่งผลให้ GDP ลดลงจนถึงระดับติดลบได้ ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี ๒๕๕๘ โดยในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียนอันเนื่องมาจากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และมีแนวโน้มว่าหากปัญหายังยืดเยื้อต่อไป นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติจะเริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นในอาเซียน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในระยะยาว
ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ประชาชน ผู้เข้าร่วมชุมนุม และแกนนำกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด ได้ตระหนักถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ และร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยสันติวิธีโดยเร็วเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ เพราะหากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวแล้วก็ยากที่จะแก้ไขได้
เรื่องที่ ๒ ตามนโยบายของ ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการที่กลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ได้นำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ดังนั้น ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๖๗ แห่งแล้ว ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอร้องกลุ่มมวลชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใดให้งดเว้นการเข้าปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ศาล และหน่วยงานต่างๆ เพราะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ก็จะต้องหยุดลง หรือเป็นโดยล่าช้าหรือเสียหาย อันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยหาได้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย
นอกจากนี้ ศอ.รส. ยังมีนโยบายให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าว โดยขณะนี้มีการดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มต่างๆ ที่นำมวลชนไปปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๕ คดี โดยแยกเป็นคดีของ กปปส. จำนวน ๓๒ คดี เป็นคดีของกลุ่ม กวป. ที่ได้ไปปิดล้อมบริเวณสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน ๓ คดี ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอเน้นย้ำว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในความผิดฐานบุกรุกปิดล้อมสถานที่ราชการและหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ โดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด
เรื่องที่ ๓ ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น เมื่อคืนวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๗ บริเวณซอยราษฎร์อุทิศ ๒๕ และ ๒๗ เขตมีนบุรี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตสองราย และมีการพบระเบิดและอุปกรณ์ทำระเบิดจำนวนหนึ่งนั้น เนื่องจากระเบิดดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุรุนแรงได้ ศอ.รส. จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และจะได้แจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าต่อไป
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น