ศรส. ยังไม่เผยรายชื่อกลุ่มทุนท่อน้ำเลี้ยง กปปส. ระบุต้องพิจารณารอบคอบ มอบหมาย 5 หน่วยงานร่วมตรวจสอบกลั่นกรองก่อนเปิดเผย เร่ง มท. ส่งผลพิจารณาการเนรเทศสาธิต เซกัล ภายในพรุ่งนี้ ประณามพระพุทธอิสระ แกนนำ กปปส. ที่สั่งการ์ดควบคุมตัว-รุมทำร้ายตำรวจ 2 นาย ชี้ผิดกฎหมายร้ายแรงโดยศรส.จะดำเนินการเฉียบขาด
วันนี้ (11 ก.พ.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศรส. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุม ศรส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ผอ.ศรส. เป็นประธานการประชุม โดยมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. ศรส. ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 149 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 95 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 41 คน
2. ศรส. ได้รับรายงานว่า คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอทบทวนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร รายนายสาธิต เซกัล หนึ่งในแกนนำ กปปส. ซึ่งมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ได้ประชุมหารือเมื่อวานนี้ คือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อยุติ โดยต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ศรส. เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงมีหนังสือแจ้งปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เร่งพิจารณา โดยขอให้มีความเห็นว่าจะเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ อย่างไร ส่งถึงผู้อำนวยการ ศรส. ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อ ศรส.จะได้พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ต่อไป
3. ศรส.ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า กรณีความเดือดร้อนของชาวนาและเกษตรกรนั้น พระพุทธอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล โดยเป็นแกนนำเวทีถนนแจ้งวัฒนะ ได้เสนอต่อรองว่า หากกรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีการทุจริตจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษแล้ว กปปส. จะอนุญาตให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดทำการตามปกติได้นั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ชี้แจงแล้วว่า การจะรับคดีใดเป็นคดีพิเศษนั้น ไม่ได้ขึ้นกับการต่อรองด้วยวิธีการเช่นนี้ของ กปปส. เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และในกระบวนการยุติธรรมจะใช้วิธีต่อรองเช่นนี้ไม่ได้ แต่ ศรส.เห็นด้วยที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเข้าไปทำการตรวจสอบหรือสอบสวนในเรื่องนี้ หากมีผู้ร้องขอที่มีตัวตนชัดเจน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดร้องขอให้ดำเนินคดีการทุจริตจำนำข้าวเลย จึงขอทำความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะ กปปส. ไปประกาศบิดเบือนว่า ศรส. และกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่รับทำคดีการทุจริตจำนำข้าว
4. ผู้อำนวยการ ศรส. โดยความเห็นชอบของที่ประชุมได้สั่งการและกำชับให้เจ้าหน้าที่ของ ศรส.เร่งรัดการเข้าจับกุมแกนนำผู้กระทำผิดของ กปปส. ทั้งที่ศาลได้อนุมัติออกหมายจับไว้และผู้กระทำผิดซึ่งหน้าโดยเฉพาะการ์ดที่ให้การคุ้มกันผู้ถูกออกหมายจับ โดยให้พิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสม
5. ศรส.ขอประณามการกระทำของแกนนำ กปปส. โดยเฉพาะพระพุทธอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ที่สั่งการให้การ์ดของ กปปส. เข้าควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของชาวนาที่เข้าไปบริเวณชุมนุมถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละตามหน้าที่ แต่กลับถูกควบคุมตัวโดยแกนนำที่ศาลออกหมายจับ แล้วเข้ารุมทำร้ายตำรวจทั้ง 2 นาย ใช้ผ้าผูกตาแล้วข่มขู่ทำร้ายตามภาพที่ปรากฏทางสื่อมวลชนทั่วไป ขณะนี้ตำรวจทั้ง 2 นายต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ คาดว่าต้องใช้เวลารักษาตัวนานถึง 2 สัปดาห์
อนึ่ง ตำรวจทั้ง 2 นาย คือ ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงษ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ ซึ่งอายุมากแล้วถึง 59 ปี และ 43 ปี ตามลำดับ ศรส. ขอยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดต่อกฎหมายที่ร้ายแรงและไม่สมควรกระทำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างยิ่ง ศรส. จะดำเนินการอย่างเฉียบขาดกับกรณีดังกล่าวต่อไป
6. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดบริการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 44 แห่งแล้ว
พร้อมกันนี้ อธิบดีดีเอสไอกล่าวถึงกรณีการประกาศ 136 รายชื่อกลุ่มทุนที่เข้าข่ายสนับสนุนในลักษณะเป็นท่อน้ำเลี้ยง กปปส. ว่า ที่ประชุม ศรส.เห็นสมควรว่าเพื่อความรอบคอบและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจึงมอบหมายให้ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. และกรมสรรพากร ร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบกลั่นกรองทั้ง 136 รายชื่ออีกครั้งก่อนที่จะประกาศรายชื่อเพื่อให้มาชี้แจงกับ ศรส. ซึ่งขณะนี้ทั้ง 5 หน่วยงานกำลังมีการประชุมร่วมกันเพื่อตรวจสอบ พิจารณากลั่นกรองให้เกิดความรอบคอบก่อนประกาศรายชื่อ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ในวันนี้ โดยขอให้สื่อมวลชนสอบถามความคืบหน้าได้โดยตรงจากเลขาธิการ ป.ป.ง.
“ ที่ประชุม ศรส.มีข้อห่วงใยว่าการดำเนินการเรื่องนี้ต้องรอบคอบ และมีพยานหลักฐานพอสมควร เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้ง ศรส. เองที่ดำเนินการเรื่องนี้ และคนที่จะถูกเปิดรายชื่อด้วย ฉะนั้นควรจะต้องมีการตรวจสอบจาก 5 หน่วยงาน ไม่ใช่เป็นการทำตามลำพังของดีเอสไอ หรือตามลำพังของตำรวจสันติบาลเท่านั้น เพราะรายชื่อตั้งต้นมาจากดีเอสไอกับตำรวจสันติบาล แต่เพื่อให้เกิดความรอบคอบจึงนำ 5 หน่วยงานที่จะต้องตรวจสอบต่อ มาพิจารณาร่วมกันเลย อาจจะช้าไปสักนิดหนึ่ง แต่ที่แน่นอนคือใน 136 รายชื่อนี้ มี 58 รายชื่อที่แน่นอน เพราะอยู่ในสถานะเป็นผู้ต้องหาคดีพิเศษแล้ว” อธิบดีดีเอสไอกล่าว
อธิบดีดีเอสไอกล่าวด้วยว่า รายชื่อกลุ่มทุนที่เข้าข่ายลักษณะท่อน้ำเลี้ยงที่ยังไม่ประกาศ อาจมีรายชื่อที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้ คณะทำงาน 5 หน่วยงานยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ โดยไม่ได้กำหนดว่าต้องตรวจสอบให้เสร็จภายในเวลาเท่าไร แต่ ผอ.ศรส. เน้นย้ำว่าต้องเร็วที่สุด
“สิ่งที่เราทำเราก็ป้องปรามอยู่แล้ว เราก็ประกาศมาตลอด ทำตั้งแต่ออกประกาศ ศรส. ตั้งแต่ฉบับแรก ๆ ว่าให้ยุติทันที มีหนังสือเตือนส่งถึงตัว แต่เราไม่เปิดเผยชื่อ จากหนังสือเตือนเสร็จก็มาทำรายชื่อ 136 รายชื่อ แล้วก็จะนำไปสู่การเรียกสอบ การดำเนินคดี ถือว่าเราพยายามป้องปรามอย่างมาก ถ้ายังไม่หยุดและมีพฤติการณ์หนักขึ้น ก็แน่นอนว่าจะต้องถูกดำเนินคดี คงไม่ใช่เพียงแค่ผู้สนับสนุน อาจจะเข้าข่ายเป็นตัวการร่วมไปเลย” อธิบดีดีเอสไอกล่าว
อธิบดีดีเอสไอกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของความรับผิดทางอาญาของผู้ที่สนับสนุน หลักใหญ่คือต้องดูที่เจตนา ถ้าเจตนาเป็นเรื่องของการบริจาคค่าอาหาร ความศรัทธา เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ๆ ต่าง ๆ 1,000 บาท 2,000 บาท หรือ 10,000 บาท 20,000 บาท ต่าง ๆ แล้วไม่ได้ให้กันต่อเนื่องเป็นอาจิณ ไม่ได้ไปร่วมขึ้นเวทีด้วย ก็เป็นเครื่องชี้เจตนาว่าไม่มีเจตนาร่วมกระทำผิดหรือสนับสนุน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่หมายความว่าใครบริจาคแล้วผิดหมด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเรื่องการร้องขอให้ดีเอสไอรับเรื่องการทุจริตจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ไม่ใช่เป็นคดีบัญชีท้าย จึงต้องมีการนำเข้าบอร์ดคดีพิเศษ ฉะนั้นเมื่อมีการร้องเข้ามาก็จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงที่เรียกว่าการสืบสวนเบื้องต้นก่อนและนำเข้าสู่บอร์ด แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครร้องเข้ามา ซึ่งดีเอสไอยินดีที่จะทำคดีนี้ โดยขอให้ร้องเข้ามาแล้วจะรีบตรวจสอบและนำเข้าพิจารณาในบอร์ดดีเอสไอต่อไป ทั้งนี้ การที่ กปปส. ไปบิดเบือนว่าดีเอสไอไม่รับทำคดีนั้น ดีเอสไอไม่รับแน่ถ้าเกิดจากการต่อรอง เพราะพระพุทธอิสระใช้วิธีต่อรองว่าให้รับทำคดีแล้วจะเปิดที่ทำการดีเอสไอให้ทำการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กระบวนการยุติธรรมต้องไม่ใช่การต่อรอง ไม่จำเป็นต้องประกาศเปิดที่ทำการให้ดีเอสไอก็ได้ เพียงมีคนมาร้อง ดีเอสไอก็จะสอบสวนดำเนินการให้ จะผิดหรือถูกต้องมาดูกันอีกที โดยขอให้ติดต่อร้องมาได้ที่ ศรส.
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลการเข้าตรวจค้นบ้านพักของนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม แกนนำ กปปส. เมื่อเช้านี้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า จากข้อมูลที่ยังไม่ยืนยันพบว่ามีเสื้อเกราะกันกระสุน วิทยุ ที่คนขับรถรับว่าเป็นของคนขับรถ ซึ่งพบว่าผิดตามยุทธภัณฑ์ ส่วนจะผิดถูกอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น