วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ศรส. แจง การปฏิบัติการเมื่อวานนี้ รวมถึงวันนี้ไม่ใช่การสลายการชุมนุมหรือขอคืนพื้นที่จากกลุ่ม กปปส. แต่เป็นการเข้าตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายศาล พร้อมเปิดสถานที่ราชการ-ถนนสาธารณะ ยืนยันปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่


วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2557) เวลา 13.20 น. ณ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศรส. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุม ศรส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ผอ.ศรส. เป็นประธานการประชุม โดยมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. ศรส.ขอเรียนว่า การเริ่มปฏิบัติการของ ศรส. ด้วยการใช้กำลังตำรวจเข้าดำเนินการในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้นั้น การปฏิบัติการดังกล่าวไม่ใช่การสลายการชุมนุม หรือการกระชับพื้นที่ หรือการขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อการเข้าตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับของศาล หรือการเปิดสถานที่ราชการหรือถนนสาธารณะ ซึ่งจะปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยมียุทธวิธีที่เหมาะสมต่างกันไป ประการสำคัญเป็นการปฏิบัติการโดยเปิดเผย จึงได้แจ้งให้สื่อมวลชนเข้าร่วมทำข่าว มีส่วนร่วมและช่วยตรวจสอบด้วย อาทิ การปฏิบัติการเมื่อวานนี้ที่บริเวณถนนข้างทำเนียบรัฐบาล เป็นการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย เมื่อเข้าปฏิบัติการแล้วก็ได้ตรวจยึดอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งของผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์ใช้ทำวัตถุระเบิด ส่วนผู้กระทำผิดได้หลบหนีไป ดังนั้น เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้น จึงให้กำลังตำรวจกลับสู่ที่ตั้ง โดยไม่จำเป็นต้องคงกำลังตำรวจไว้ในพื้นที่ เพราะไม่ใช่การขอคืนพื้นที่
ส่วนที่ถนนแจ้งวัฒนะซึ่งกำลังปฏิบัติการในวันนี้ ก็เพื่อเข้าตรวจสอบลาดตระเวน เจรจา และกดดัน เพื่อทำการเปิดสถานที่ศูนย์ราชการ และถนนแจ้งวัฒนะ กลับมาให้บริการประชาชนได้ดังเดิมรวมถึงการเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ คือ พระพุทธอิสระและการ์ดที่คุ้มกันด้วย ซึ่งต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง มิให้เกิดการสูญเสียโดยเฉพาะประชาชนที่ถูกใช้เป็นโล่ห์มนุษย์ ศรส. ขอยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปะละเลยให้แกนนำ กปปส. การ์ดที่คุ้มกัน และผู้เข้าร่วมกระทำความผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเป็นการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเป็นอันขาด
2. กรณีศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กับนายเสรี วงษ์มณฑา หนึ่งในแกนนำ กปปส. ที่ถูกดำเนินคดี โดยศาลได้สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษระงับการสั่งธนาคารอายัดบัญชี รวม 7 บัญชี นั้น ศรส.ได้รับรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันทีที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของศาล แต่อย่างไรก็ตาม นายเสรี กับแกนนำ กปปส.ทุกคน รวม 58 คน ก็อาจถูกอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่ ศรส. ได้แต่งตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร ซึ่งกำลังพิจารณาตรวจสอบและเตรียมสั่งอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจไว้ ดังนั้น การใช้อำนาจสั่งอายัดบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษที่ศาลสั่งให้ยกเลิก จึงเป็นคนละกรณีกับการจะสั่งอายัดหรือระงับการทำธุรกรรมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศรส. ทั้งนี้ ศรส. ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุน การกระทำผิดที่เรียกว่า ท่อน้ำเลี้ยง และในวันนี้ ศรส. ได้มีมติจะทำการตรวจสอบ แล้วเชิญผู้ต้องสงสัยมาชี้แจงก่อน หากชี้แจงไม่ได้จึงจะประกาศรายชื่อระงับการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นการให้ความเป็นธรรมมากกว่าที่เคยปฏิบัติโดย ศอฉ. ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเหตุการณ์ชุมนุมในปี 2553 ที่ออกคำสั่งระงับการทำธุรกรรมก่อน แล้วจึงให้ชี้แจงภายหลัง
3. กรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส. ที่ศาลได้ออกหมายจับประเภทหมาย ฉ. ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จะครบกำหนดควบคุมตัว 7 วัน ในวันอาทิตย์นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปขออนุญาตศาลควบคุมตัวต่ออีก 7 วัน ซึ่งศาลเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวแล้วจึงให้ปล่อยตัวนั้น ศรส.ได้รับแจ้งว่า นายสนธิญาณ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงคือ ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และร่วมกันยุยงส่งเสริมให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่มีเจ้าพนักงาน 3 ฝ่ายร่วมกันสอบสวน คือตำรวจ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ และเมื่อวานนี้ คณะพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยพนักงานอัยการก็ได้เข้าแจ้งข้อหาร้ายแรงดังกล่าวแก่นายสนธิญาณ เรียบร้อยแล้ว และในวันนี้ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายขังมีกำหนดครั้งละ 12 วัน รวมแล้วไม่เกิน 84 วัน โดยล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 นาฬิกา ศาลอาญาได้อนุมัติให้ฝากขัง นายสนธิญาณ มีกำหนด 12 วันแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกฎหมายปกติ คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยได้ขอศาลคัดค้านการประกันตัว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และหากปล่อยตัวไปก็เชื่อว่าจะไปกระทำผิดซ้ำอีก ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ เป็นขั้นตอนปกติตามกฎหมายซึ่งไม่อาจปฏิบัติเป็นอื่นได้ และไม่มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด
4. ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้ มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 159 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 168 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 327 คดี และศาลได้ออกหมายจับ ให้แล้วจำนวน 67 คน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น