ศรส. มีมติยื่นคำร้องเสนอข้อมูลศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องการขอเพิกถอนประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปี 53 ต่อศาลแพ่งโดยด่วนวันนี้ โดยจะทำคำแถลงการณ์ปิดคดีก่อนศาลแพ่งจะมีคำพิพากษา 19 ก.พ.นี้ แจงกำหนดอัตรากำลัง หัวหน้าผู้รับผิดชอบ ยุทธวิธีเข้าปฏิบัติการใน 5 พื้นที่ชุมนุมตามสถานการณ์แต่ละพื้นที่ ย้ำไม่ใช่สลายการชุมนุม กระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ แต่เป็นปฏิบัติการเพื่อคืนความสงบสุขให้สังคม
วันนี้ (17 ก.พ.57) เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศรส. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุม ศรส. ประจำวัน ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ผอ.ศรส. เป็นประธานการประชุม โดยมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. ศรส.ได้ตรวจพบว่า เมื่อครั้งประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี พ.ศ. 2553 นั้น ได้เคยมีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งว่าการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นไปโดยมิชอบ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน ซึ่งในที่สุดแล้ว ศาลแพ่งเห็นว่า พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ มีเจตนารมณ์ที่จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรหรือในบางเขตท้องที่ได้ตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ การที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแก่นายกรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมเป็นการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลยพินิจของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะศาลมิอาจก้าวล่วงไปพิจารณาหรือทบทวนการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหารเช่นว่านั้นได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง ซึ่ง ศรส. พิจาณาเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีลักษณะเช่นเดียวกับเรื่องที่นายถาวร เสนเนียม ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งเพิกถอนการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ อยู่ในขณะนี้ โดยมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน ศรส.จึงได้มีมติยื่นคำร้องเสนอข้อมูลดังกล่าวต่อศาลแพ่งโดยด่วนในวันนี้ โดยจะทำเป็นคำแถลงการณ์ปิดคดี ก่อนที่ศาลแพ่งจะได้มีคำพิพากษาในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ นี้
2. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 48 แห่งแล้ว
3. ยอดผู้ชุมนุมของ กปปส. สูงสุดเมื่อคืนวานนี้ ช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ทุกเวทีรวมประมาณ 7,500 คน ซึ่งได้ลดน้อยลงเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง ศรส. ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมืองดการเข้าร่วมชุมนุม การสนับสนุนด้านการเงิน และการช่วยเหลือต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่ไม่สงบขณะนี้ยุติไปได้ในที่สุด
4. ศรส. ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 160 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 169 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 329 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 67 คน
5. ศรส. ขอแจ้งความคืบหน้าของการเข้าตรวจสอบพื้นที่การชุมนุมเพื่อติดตามจับกุมแกนนำ กปปส. ที่ศาลได้ออกหมายจับและการจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้า และการเปิดใช้พื้นที่ส่วนราชการและถนนสาธารณะว่า ศรส. ได้กำหนดพื้นที่ที่จะปฏิบัติการรวม 5 แห่ง ดังนี้ คือ 1) บริเวณทำเนียบรัฐบาล 2) บริเวณศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ 3) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 4) กระทรวงพลังงาน และ 5) กระทรวงมหาดไทย โดยได้กำหนดอัตรากำลังเข้าปฏิบัติ หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และยุทธวิธีซึ่งจะเป็นไปตามสถานการณ์เพื่อความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไป โดยขอเรียนย้ำว่า การปฏิบัติการในขณะนี้ไม่ใช่การสลายการชุมนุม ไม่ใช่การกระชับพื้นที่ และไม่ใช่การขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อคืนความสงบสุขให้สังคม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการขอคืนพื้นที่ของ ศรส. ในสัปดาห์นี้จะเริ่มได้เมื่อไร อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ไม่ใช่การขอคืนพื้นที่ เป็นการปฏิบัติการเพื่อความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ หลักการใหญ่คือการเข้าติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดที่ศาลออกหมายจับ และการเปิดพื้นที่ส่วนราชการหรือถนนสาธารณะ โดยจะดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งการดำเนินการในแต่ละพื้นที่จะมียุทธวิธีที่แตกต่างกัน ทั้งที่ถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณถนนรอบทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมาที่เป็นการเริ่มต้นและจะทำอย่างต่อเนื่อง มีการกำหนดกำลังคนที่จะประกอบกำลังว่ามีกี่กองร้อย ใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ยุทธวิธีจะเป็นอย่างไร ซึ่งอาจแตกต่างกันตามพื้นที่ โดยจะทำอย่างต่อเนื่องไป บางจุดอาจจะต้องใช้เวลา บางจุดอาจจะทำได้เร็ว และบางจุดอาจจะต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น ถนนแจ้งวัฒนะ ที่มีการประกอบกำลัง เคลื่อนกำลังไปกดดัน พร้อม ๆ กับการเจรจา จะเห็นว่าภาพของการกระทำอาจจะไม่ทันอกทันใจเหมือนปี 2553 แต่ได้พิเคราะห์อย่างระมัดระวังแล้วว่าจะต้องดำเนินการ 5 แห่งให้ประสบความสำเร็จโดยไม่มีการสูญเสียเลย หรือว่าสูญเสียให้น้อยที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันพรุ่งนี้ ศรส. มีการวางแผนว่าจะขอคืนพื้นที่จุดใดหรือไม่ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า การปฏิบัติการดังกล่าวซึ่งไม่ใช่การขอคืนพื้นที่นี้จะมีการปฏิบัติการต่อเนื่องกันไป ส่วนจะเป็นที่ไหนอย่างไร ศรส. ได้บอกเป้าหมาย 5 แห่งไปแล้วชัดเจน ส่วนจะปฏิบัติการวันเวลาใด จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าแน่นอนเพื่อความโปร่งใส และให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยจะเข้าปฏิบัติการเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศรส. ได้ประเมินเหตุการณ์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลวันนี้อย่างไร อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ศรส. ยังไม่ได้มีการประเมิน แต่มีการรายงานเหตุการณ์ที่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ไปทำอะไร โดยการประเมินจะมีการประเมินโดยคณะกรรมการประเมินศูนย์ข่าวร่วม ที่จะประเมินสถานการณ์ในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์และหารือถึงแนวโน้มในการประชุม ศรส. วันพรุ่งนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการประกาศรายชื่อกลุ่มทุนผู้สนับสนุน กปปส. ในลักษณะท่อน้ำเลี้ยงว่าจะประกาศรายชื่อได้วันใด อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ยังคงทำอยู่ ศรส. มีหลักการชัดเจนว่าจะทำการตรวจสอบ เรียกมาชี้แจง ถ้าชี้แจงได้ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้จึงนำไปสู่การสั่งระงับการทำธุรกรรม ซึ่งจะต่างจากปี 2553 เพราะในปี 2553 ได้สั่งระงับทั้งหมดแล้วค่อยชี้แจง แต่ครั้งนี้ได้ทำกลับกันโดยเชิญมาชี้แจงก่อน ศรส. พยายามระมัดระวังมากที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยคณะทำงานกำลังดำเนินการอยู่ คงไม่ต้องรอให้เลขาธิการ ป.ป.ง. เดินทางกลับจากต่างประเทศก่อน ระหว่างนี้คณะทำงานก็สามารถทำงานไปได้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าขณะนี้มีใครบ้างที่ได้เข้ามาชี้แจงกับ ศรส. แล้ว อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า กระบวนการขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการสืบสวนสอบสวน ยังไม่ได้มีการเจาะจงเรียกใครมาชี้แจงเป็นรายตัว แต่ได้มีการส่งหนังสือเตือนไปถึงเป็นรายบุคคลไปแล้วตั้งแต่เมื่อตั้ง ศรส. ขึ้นใหม่ ๆ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่ามีใครบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีสถานที่ราชการอีกกี่แห่งที่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ขณะนี้มีจำนวนน้อยแล้ว ตัวเลขที่เปิดได้ขณะนี้มี 48 แห่ง โดยเมื่อเช้าวันนี้กรมการขนส่งทางบกก็ได้เปิดทำการแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น