วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗


ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

๑.   ศรส.ได้รับแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า  ตามที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๒๔  โดยขอให้ธนาคารตรวจสอบบัญชีเงินฝากและอายัดบัญชีเงินฝากของแกนนำ กปปส. จำนวน ๓๘ คน ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีพิเศษ    และต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอนุญาตให้นายเสรี วงษ์มณฑา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีได้  ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแพ่งดังกล่าว จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอายัดบัญชีของนายเสรีฯ และผู้ต้องหารายอื่นทั้ง ๓๘ คน รวมถึงบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องอีก ๓ บัญชี  ทั้งนี้ ได้แจ้งให้ธนาคารดำเนินการเพิกถอนการอายัดบัญชีดังกล่าวด้วยแล้ว  อย่างไรก็ตาม แม้จะได้เพิกถอนการอายัดบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาทั้ง ๓๘ คน ดังกล่าวแล้ว  แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้ง ๓๘ ราย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินคดีต่อไป

๒.   ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส.  โดยเฉพาะสถานที่ราชการ  ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม  ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๕๓ แห่งแล้ว  แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้  และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก ข้อมูลจนถึงเช้าวันนี้ กปปส. ได้กลับไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการและบริษัทเอกชน จำนวน ๑๐ แห่ง ได้แก่ กรมศุลกากร  กระทรวงการต่างประเทศ  กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง  กรมสรรพสามิต  สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี  บริษัทเอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  และอาคารชินวัตรทาวเวอร์ ๓

ศรส.จึงหวังว่า การยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแพ่งจะเป็นผลให้ ศรส.สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ดังเดิม เพื่อหยุดยั้งมิให้ กปปส. กลับไปปิดสถานที่ราชการได้อีกจำนวนมากเช่นเดิม

๓.   ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง    ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้  ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรงขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน ๑๘๗ คดี  คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน ๑๗๒ คดี  รวมคดีทั้งสิ้น ๓๕๙ คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน ๑๓๐ คน  ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน ๓๓ คน ส่วนเจ้าหน้าที่ กกต.ที่ถูกดำเนินคดีนั้นมีจำนวนถึง ๕๖๐ คนแล้ว

๔.   จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องมาหลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษานั้น  ศรส.มีความกังวลใจเป็นอย่างมาก และใคร่ขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ ทั้งที่สนับสนุน กปปส. กลุ่มที่คัดค้าน กปปส. กลุ่ม นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ได้โปรดอดทน อดกลั้น  อย่าได้ออกมาใช้ความรุนแรง เพราะมีแนวโน้มว่า สถานการณ์จะวิกฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง  ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก  และยากแก่การแก้ไขเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ศรส.ขอได้โปรดปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนโดยเคร่งครัด เฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น