๑. ด้วยได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดให้จัดการเลือกตั้งในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗ ศรส.จะได้ประสานงานกับ กกต. เพื่อช่วยเหลือและจัดอัตรากำลังตำรวจ ทหาร พลเรือน ให้การเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามที่ กกต. จะได้ร้องขอ
๒. ศรส.ขอขอบคุณแกนนำกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. ที่ได้ยุติการชุมนุมบริเวณด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ทำให้วันนี้กรรมการ ป.ป.ช. และข้าราชการ สามารถกลับเข้าทำงานตามปกติได้แล้ว ส่วนข้อเรียกร้องของ กวป. ที่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณถนนแจ้งวัฒนะต้องเลิกการชุมนุมเช่นกันนั้น ศรส.กำลังพยายามขอร้องและเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่แล้ว โดยในวันนี้ที่ประชุม ศรส.ได้แต่งตั้งคณะผู้เจรจากับพระพุทธอิสระขึ้นชุดหนึ่ง โดยมี พลตรี สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ กระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะเจรจาและมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะเจรจา ทั้งนี้ เพื่อขอให้มีการเปิดถนนแจ้งวัฒนะและสถานที่ราชการในบริเวณดังกล่าวทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
๓. การที่แกนนำ กปปส. ได้ยุบรวมเวทีการชุมนุมต่าง ๆ แล้วจัดตั้งเวทีแห่งใหม่ คือ เวที สวนลุมพินีนั้น นับว่าเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดและความเดือดร้อนของประชาชนได้ระดับหนึ่ง แต่ ศรส.ยังมีความห่วงใยการคงไว้ซึ่งเวทีการชุมนุมที่ถนนแจ้งวัฒนะและบริเวณถนนรอบทำเนียบรัฐบาล รวมถึงการจัดชุดมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการและบริษัทห้างร้านของภาคเอกชนด้วย ซึ่งล้วนเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ศรส.จึงขอร้องแกนนำ กปปส. ได้ยุติการกระทำดังกล่าวเสีย ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อประชาชนและชาติบ้านเมือง
๔. ศรส.ได้ติดตามการชุมนุมรวมพลของกลุ่ม นปช. ในต่างจังหวัดตลอด ๒ – ๓ วันที่ผ่านมาและอยากขอร้องว่า แกนนำ นปช. อย่าได้นำมวลชนเข้ามาในเขตกรุงเทพมหานคร เพราะจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าจนอาจเกิดการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรง ศรส.เห็นว่า ทุกฝ่ายควรช่วยกันลดความรุนแรงลงและหันหน้าไปสู่การเจรจา ย่อมเป็นทางออกของความขัดแย้งที่ดีกว่า
๕. ศรส.ได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อันประกอบด้วยพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบให้ออกหมายเรียกแกนนำ กปปส. โดยในจำนวนผู้ต้องหาทั้ง ๕๘ คน นั้น ศาลได้ออกหมายจับฐานกบฏตามมาตรา ๑๑๓ และมาตรา ๑๑๔ ฐานร่วมกันยุยงส่งเสริมให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย ตามมาตรา ๑๑๖ ฐานร่วมกันมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา ๒๑๕ ให้แล้ว ๓ คน อยู่ระหว่างให้ออกนอกราชอาณาจักร ๑ คน และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามคำแนะนำของพนักงานอัยการ ๑ คน คงเหลือที่ได้ออกหมายเรียกในวันนี้ ๕๓ คน โดยเป็นการออกหมายเรียกซ้ำ เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งหากในคราวนี้ไม่มาตามหมายเรียกอีก ก็จะได้ขอศาลออกหมายจับต่อไป สำหรับรายชื่อผู้ต้องหาทั้ง ๕๓ คนนั้น จะได้เผยแพร่กับสื่อมวลชนต่อไป
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น