วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๗


ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้

๑.   ศรส. ขอเรียนว่า จากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.  ที่กระทำการปิดกรุงเทพมหานคร มีการกระทำล่วงละเมิดต่อกฎหมายหลายเรื่องหลายกรณี อาทิเช่น  การกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายข้อหา ปิดการจราจรในถนนสำคัญ  บุกรุกและยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง  ขับไล่ข้าราชการ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากสถานที่ราชการ  ตัดน้ำตัดไฟ  เอาโซ่คล้องประตูเพื่อไม่ให้ทำงานได้ มีการก่อเหตุร้ายโดยกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก รวมถึงการขัดขวางการเลือกตั้งทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดภาคใต้  ซึ่งการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในหลาย ๆ มิติ  ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการชุมนุมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ศรส.จึงมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน  โดยให้ครอบคลุมในทุก ๆ มิติ และทุก ๆ ด้านของความเสียหาย  ซึ่งการประเมินความเสียหายดังกล่าวนอกจากจะทำให้เห็นภาพรวมของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังจำเป็นต้องนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาอีกด้วย

๒.   ศรส.ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ณ วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๗  ว่า ได้รับคดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ดังนี้

                     ๑)   คดีขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น ๑๙๐ คดี  แยกเป็นคดีที่ กปปส.ในกรุงเทพมหานครกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง ๕๑ คดี  และคดีที่ กปปส.ในต่างจังหวัดกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง ๑๓๙ คดี 
                     ๒)   คดีที่เจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น ๑๗๔ คดี แยกเป็นคดีที่เกิดในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๖๓ คดี  และคดีที่เกิดในต่างจังหวัดจำนวน ๑๑๑ คดี
                     รวมคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น ๓๖๔ คดี  โดยศาลได้ออกหมายจับให้ รวมทั้งสิ้น ๑๕๕ คน  ได้ตัวมาสอบสวนแล้ว ๖๕ คน  ทั้งนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งมีจำนวนถึง ๑,๑๔๔ คน ซึ่งโทษที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่มีทั้งโทษจำคุกและปรับ รวมถึงการตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา ๕ ปี  ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง 
                     อนึ่ง ศรส.ยังได้รับรายงานอีกด้วยว่า พนักงานสอบสวนของจังหวัดสตูล กับจังหวัดพัทลุง ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีขัดขวางการเลือกตั้งในเขตพื้นที่ ๒ จังหวัด ซึ่งมีการกล่าวโทษร้องทุกข์คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ ๕ เสือ กกต. ว่า มีส่วนละเว้นการปฏิบัติ ทำให้เกิดการขัดขวางการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อันเป็นความผิดตามกฎหมาย
                     ศรส. ขอเรียนว่า จากการดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาอย่างจริงจัง  ส่งผลให้การเลือกตั้งทดแทนเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ที่ผ่านมา ในพื้นที่ ๕ จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี และระยอง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย  ซึ่ง ศรส. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยไม่มีกลุ่ม กปปส. ไปกระทำการขัดขวางการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน

๓.   ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส.  โดยเฉพาะสถานที่ราชการ  ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม  ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๖๖ แห่งแล้ว  แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้  และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก ข้อมูลจนถึงเช้าวันนี้ กปปส. ได้กลับไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการและบริษัทเอกชน รวมจำนวน ๑๗ แห่ง ซึ่ง ศรส.จะได้พยายามทุกวิถีทางให้สถานที่ราชการดังกล่าวกลับมาเปิดให้บริการอีกให้จงได้  ทั้งนี้ ศรส.ได้มีหนังสือแจ้งปลัดกระทรวงทุกกระทรวงให้แจ้งหัวหน้าหน่วยงานทุกหน่วยงานที่ถูกแกนนำ กปปส. นำมวลชนไปปิดล้อม ปิดกั้น หรือขับไล่ข้าราชการ ให้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่มีการละเว้นเป็นอันขาด

๔.   วันนี้ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้องของนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ที่ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพิกถอนหมายจับของศาลอาญาในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งไม่เพิกถอนหมายจับดังกล่าว โดยให้ยึดถือตามคำสั่งศาลอาญาตามเดิม  กล่าวโดยสรุปคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังคงถูกศาลออกหมายจับฐานร่วมกันเป็นกบฏเช่นเดิม ซึ่ง ศรส.ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเร่งรัดดำเนินคดีนายสุเทพฯ กับแกนนำคนอื่น ๆ รวม ๕๘ คนต่อไป  โดยเฉพาะการติดตามจับกุมเมื่อมีโอกาสและสถานการณ์ที่เหมาะสมด้วย 

จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น